แนวตอบ อ.กิตติ
(ตัวอย่าง คำถาม ข้อสอบวันที่ 14 ม.ค 50 ลำพูน –พิษณุโลก)
ประเด็นคำถาม จากวิกฤตของสถาบันการเงินไทยที่นำไปสู่วิกฤต ศก.ไทย ให้ตอบคำถามโดยอ้างอิงความรู้ทางวิชาการและยกตัวอย่างเชิงประจักษ์)
ข้อ1 วิกฤตสถาบันการเงินไทยมีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับวิกฤตศก.ไทยอย่างไร
ข้อ2 ประสิทธิภาพของ ธปท.มีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับวิกฤตสถาบันการเงินไทยอย่างไร
ข้อ3 ประสิทธิภาพของสถาบันการเงินไทยมีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างไร
เกริ่นนำ (การเกริ่นนำอาจน้อยกว่านี้ อาจหาจากคำนำของหนังสือต่างๆหรือลองมีสไตล์ตัวเองก็ได้ครับ)
ในการบริหารงานของรัฐบาล เป้าหมายสุดท้าย(End)ที่ต้องการให้เกิดขึ้นคือความอยู่ดีกินดีของพี่น้องประชาชนภายในประเทศ โดยมีระบบเศรษฐกิจที่มีการเจริญเติบโตอย่างเหมาะสม เกิดการกระจายรายได้ มีเสถียรภาพ มีความยั่งยืนและมีความสมดุลกับภาคต่างๆ เช่นด้านสังคม ด้านวัฒนธรรม ด้านสิ่งแวดล้อม อย่างเหมาะสม การจะออกแบบให้เศรษฐกิจของประเทศให้มีลักษณะดังกล่าว การดำเนินนโยบายบริหารการเงินและการคลังที่มีประสิทธิภาพนับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น สำหรับวิกฤตเศรษฐกิจไทยที่เกิดขึ้นนับว่ามีความเกี่ยวข้องกับนโยบายดังกล่าวเช่นกัน โดยมีสาเหตุใหญ่ๆคือการขาดประสิทธิภาพของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)และการบริหารงานที่ไม่มีธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถาบันการเงินไทย ซึ่งวิกฤตทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทยเป็นอย่างยิ่ง ในที่นี้จะขอแยกตอบตามประเด็นคำถามของอาจารย์ดังนี้
1.ความสัมพันธ์และเกี่ยวข้อง ระหว่างวิกฤตการณ์สถาบันการเงินกับวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศ
วิกฤตการณ์ของสถาบันการเงินมีความความสัมพันธ์และเกี่ยวข้อง กับวิกฤตเศรษฐกิจไทยอย่างยิ่งกล่าวคือเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้น ทั้งนี้การเกิดวิกฤตของสถาบันการเงินไทยมาจากหลายสาเหตุได้แก่
1.1 การปล่อยสินเชื่อที่ไม่โปร่งใสภายใต้ระบบอุปถัมภ์ เช่นการปล่อยสินเชื่อของธ.กรุงเทพพาณิชยการโดยการประเมินราคาหลักทรัพย์ค้ำประกัน(ที่ดิน)เกินจริงเป็นการช่วยเหลือพวกพ้องที่เป็นนักการเมือง การปล่อยสินเชื่อของธนาคารหรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ให้แก่บริษัทลม(บริษัทในแผ่นกระดาษไม่มีตัวตนอยู่จริง) หรือการปล่อยเงินกู้ให้สูงกว่ามูลค่าโครงการของพรรคพวกเครือข่าย เป็นต้น
1.2 การจัดโครงสร้างองค์การที่ยังไม่ตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมใหม่ที่เปลี่ยนแปลง(ทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ)เช่นการวิเคราะห์ตัวบุคคลก่อนแล้วนำมาเขียนแผนภูมิการจัดองค์การให้เข้ากับบุคลากรดังกล่าว ซึ่งตามหลัก การจัดองค์การสมัยใหม่นั้นต้องเริ่มจากการวิเคราะห์งานก่อนแล้วนำมากำหนดแผนภูมิโครงสร้างองค์การให้เหมาะสม(Fit) จากนั้นจึงนำไปสู่การสรรหา คัดเลือกบุคลากรให้เหมาะสมกับงานต่อไป
1.3 การใช้เทคโนโลยีของสถาบันการเงินไทยเสียเปรียบสถาบันการเงินต่างประเทศ
1.4 ระดับความรู้และความสามารถของบุคลากรยังไม่เพียงพอต่อการแข่งขัน ภายใต้ระบบการค้าเสรี
1.5 ระบบข้อมูลและข่าวสาร ที่มีคุณภาพเพื่อการแข่งขันยังมีน้อย
1.6 การขยายการลงทุนไม่มีประสิทธิภาพ เช่นการขยายสาขาเกินความจำเป็น
ในที่นี้ขอยกตัวอย่างปัญหาจากเหตุดังกล่าวดังนี้ (ให้ยกตัวอย่างเล่มเหลืองหน้า119 – 121)
ซึ่งจากปัญหาที่กล่าวมาทำให้สถาบันการเงินในประเทศเกิดวิกฤตขึ้นและเมื่อสถาบันการเงินซึ่งเป็นหัวใจของภาคเศรษฐกิจประสบปัญหาก็ส่งผลต่อการค้าและการลงทุนในประเทศ การการชะงักงันของภาวะเศรษฐกิจ นอกจากนี้จากวิกฤติดังกล่าวรัฐบาลยังได้นำเงินของประเทศไปอุ้มสถาบันการเงินต่างๆไม่ให้ล้ม ซึ่งทำให้เกิดหนี้สาธารณะที่สูงที่เป็นตัวการสำคัญในการฉุดรั้งเศรษฐกิจของไทยจนถึงปัจจุบัน
2. ความเกี่ยวข้องของประสิทธิภาพธนาคารแห่งประเทศไทยกับประสิทธิภาพของสถาบันการเงินไทย
ธปท.โดยวัตถุประสงค์ขององค์การนั้นตั้งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ในการเป็นธนาคารให้แก่รัฐบาลและธนาคารพาณิชย์ในประเทศ กำกับตรวจสอบและดูแลการปฏิบัติงานและการดำเนินงานของธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆภายในประเทศ นอกจากนี้ยังต้องทำหน้าที่ในการวิเคราะห์และผลิตธนบัตรหรือออกธนบัตรใช้หมุนเวียนในประเทศ แต่เนื่องจากที่ผ่านมา ธปท.ทำงานไม่มีประสิทธิภาพจึงทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นในประเทศดังที่ปรากฏ ปัญหาที่สำคัญของ ธปท.ที่ผ่านมาได้แก่
2.1 การจัดโครงสร้างองค์การ ไม่ตอบสนอง ไม่สอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมอย่างเพียงพอและเหมาะสม และมีความเป็นระบบราชการมากเกินไป ทำให้ขาดความรวดเร็วและความคล่องตัว ตัวอย่างเช่น การแบ่งงานหรือการจัดองค์การที่ไม่ให้ความสำคัญกับฝ่ายวิชาการ กรณีที่การเปิดให้เงินทุนไหลเข้าโดยเสรีทั้งที่เป็นเรื่องใหม่แต่กลับไม่มีฝ่ายวิชาการศึกษาทบทวนว่านโยบายมีผลกระทบด้านใดบ้าง ทางเลือกการกำหนดนโยบายในอนาคตจะเป็นอย่างไร ซึ่งเมื่อไม่ได้ทำตรงนี้ทำให้ขาดข้อมูลในการตัดสินใจ จึงทำให้การใช้นโยบายมีความผิดพลาดดังกล่าว
2.2 ปัญหาด้านระบบบริหาร กล่าวคือมีการใช้ระบบบริหารแบบรวมศูนย์อำนาจมากเกินไป เป็นลักษณะแบบ วัน แมน โชว์ คือการตัดสินใจทั้งหมดอยู่ที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเพียงผู้เดียว
2.3 ปัญหาด้านภาวะผู้นำกล่าว คือ มีความแตกแยก ขาดความรักและความสามัคคีระหว่างผู้บริหารระดับสูง ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของแต่ละฝ่ายวางตัวลำบาก การประสานงานระหว่างฝ่ายจึงเป็นไปด้วยความล่าช้า นอกจากนี้ในการบริหารค่าตอบแทนก็ทำให้บุคลากรขาดแรงจูงใจในการทำงานกล่าวคือการพิจารณาความดีความชอบ มีการพิจารณาจากอายุงานมากกว่าพิจารณาตามความรู้ความสามารถ ซึ่งผิดหลักของการบริหารองค์การสมัยใหม่
2.4 ปัญหาการขาดความรู้ความสามารถของบุคลากร
2.5 ปัญหาด้านการใช้ข้อมูลข่าวสารเพื่อการบริหารไม่เพียงพอ ทำให้การตัดสินใจต่างๆเกิดจากความไม่รู้ข้อมูลที่รอบด้าน เช่น ข้อมูลด้านกลุ่มนักค้าเงิน กองทุนการเงินต่างๆ ทำให้เกิดความเสียเปรียบและเป็นการใช้ยุทธศาสตร์เชิงรับมากกว่า ทั้งนี้เนื่องจากขาดข้อมูลข่าวสารที่ดีพอนั่นเอง
2.6 ปัญหาการถูกแทรกแซงทางการเมืองทำให้ขาดอิสระในการตัดสินใจหรือไม่ได้ตัดสินใจเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนเป็นหลัก ทั้งนี้เนื่องจากผู้บริหารต้องการเอาใจนักการเมืองเพื่อความมั่นคงในตำแหน่งของตนมากกว่านั่นเอง
2.7 ปัญหาด้านการตรวจสอบ กำกับและดูแลสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่สำคัญอย่างยิ่งกล่าวคือฝ่ายที่มีหน้าที่ดูแลธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงิน มีความสับสน ขาดความรอบคอบ มีการสั่งการบ่อยครั้งในระยะติดๆกัน บางคำสั่งไม่สามารถปฏิบัติได้หรือบางครั้งคำสั่งใหม่ขัดกับที่เคยสั่งการก่อนหน้านั้น เมื่อมีการสอบถามกลับเพื่อความชัดเจน ถูกต้อง กลับไม่มีคำตอบที่ชัดเจน มีการบ่ายเบี่ยง ล่าช้าในการตอบ และหากตอบก็ตอบแบบไม่เป็นลายลักษณ์อักษรเพราะกลัวผูกมัด ซึ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการขาดความรับผิดชอบในการทำงานเป็นอย่างยิ่ง
จากสภาพปัญหาที่กล่าวมาทั้งหมดย่อมแสดงให้เห็นถึงการขาดความสามารถและการขาดประสิทธิภาพในการบริหารงานของ ธปท. ทั้งๆที่เป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญอย่างยิ่งของประเทศ แต่กลับขาดประสิทธิภาพดังกล่าว จึงย่อมส่งผลต่อคุณภาพในการดูแล กำกับและตรวจสอบหน่วยงานที่ดูแลต่ำ เปิดโอกาสให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินมีการบริหารการเงินอย่างไม่มีประสิทธิภาพ และไร้คุณธรรม โดยเฉพาะการปล่อยสินเชื่อที่ไม่โปร่งใส ไม่เหมาะสมกับหลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งได้ส่งผลเสียให้ระบบเศรษฐกิจจนถึงปัจจุบันนั่นเอง
3.ความสัมพันธ์และความเกี่ยวข้องของประสิทธิภาพของสถาบันการเงินกับชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน
ประสิทธิภาพของสถาบันการเงินนับว่ามีความเกี่ยวข้องและความสัมพันธ์กับชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือมีบทบาทที่สำคัญใน 2 บทบาทได้แก่บทบาทในเชิงธุรกิจและบทบาทในการพัฒนาประเทศ โดยความจำเป็นที่จะต้องมีสถาบันการเงินขึ้นมานั้นมีเหตุผลดังนี้
3.1 เพื่อทำให้นโยบายการเงินของรัฐได้รับการตอบสนองอย่างเป็นระบบ เช่น หากรัฐบาลต้องการชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจเพื่อลดอัตราเงินเฟ้อก็จะมีการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สูงขึ้น สถาบันการเงินก็จะนำไปปรับอัตราดอกเบี้ยของตนให้สูงตาม ทำให้ลดปริมาณเงินในระบบลง ช่วยลดอัตราเงินเฟ้อ หรือ หากรัฐต้องการส่งเสริมการออมในประเทศ สถาบันการเงินก็จะสร้างระบบเงินฝากพิเศษขึ้นเพื่อตอบสนองต่อนโยบายดังกล่าว เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น