วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2558
อ.กิตติ รศ.6300
อ.กิตติ
เกริ่นนำ
o การบริหาร ใกล้ชิดกับคำว่าอะไรบ้าง
• วิธีการ จะบริหารอะไรต้องมีวิธีการ
• การวางแผน มีการวางแผนล่วงหน้า
• เทคนิค หรือ ความฉลาด มาจาก B of K = Body of Knowledge คือ ต้องมีความรู้
• ฯลฯ
o การเงิน หรือ นโยบายการเงินเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง
• อัตราดอกเบี้ย
• อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ
• ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ
• เช่น ตอนนี้ทั้งประเทศมีธนบัตรและเหรียญเงินทั้งหมดประมาณ ๖๘๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน และระหว่างองค์การต่างๆ เนื่องจากสิ่งของทุกอย่างที่จะแลกเปลี่ยนต้องมีการประเมินค่าได้ และแลกเปลี่ยนโดยใช้สื่อกลาง
• แต่ละประเทศจะพิมพ์เงินออกมาได้ จะต้องมีทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศมาสนับสนุนอย่างเพียงพอ (หมายถึงมีเงินตราต่างประเทศอยู่เท่าไหร่ มีทองคำอยู่เท่าไหร่)
• เงินตราต่างประเทศได้มาจากการส่งออกหรือจากการที่คนมาท่องเที่ยว ซึ่งเราจะได้เงินต่างประเทศเข้ามา ซึ่งต้องมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะได้มาจากการที่คนที่มาในไทย เมื่อต้องการแลกคืน ต้องสามารถแลกคืนได้ ตอนนี้ไทยมีประมาณ ๑๒๐,๐๐๐ ล้านเหรียญดอลล่าร์
o การคลัง หรือนโยบายการคลัง
• งบประมาณรายรับ ได้มาจากการจัดเก็บภาษี (สรรพากร/ศุลกากร/สรรพสามิต)
• งบประมาณรายจ่าย แบ่งได้เป็น ๒ หมวดยอดฮิต ได้แก่ งบลงทุน (บางครั้งเรียกว่า งบพัฒนา) และ งบประจำ
• งบลงทุน จะลงทุนไปในทรัพย์สินถาวร เช่น ถนน ตึกรพ.รัฐ รร.รัฐ เครื่องจักรอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในราชการ ลงทุนแล้วใช้ได้นาน ก่อให้เกิดการขยายงานพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเปรียบกับในบ้านก็เหมือนซื้อคอมพิวเตอร์
• งบประจำ เช่น เงินเดือนข้าราชการ ค่าไฟฟ้า ค่าประปา ค่าเครื่องเขียน แบบพิมพ์ เป็นงบที่ใช้แล้วสิ้นเปลืองหมดไป รายวัน รายเดือน รายปี ถ้าเปรียบกับในบ้านก็เหมือนซื้อ สบู่ ยาสีฟัน กาแฟ
• หนี้สาธารณะ (Public Debt)
• ลำพังภาษีไม่ต้องใช้ก็ต้องกู้ โดยออกพันธบัตรรัฐบาล (ยืมเงินประชาชน แต่ไม่ต้องทำสัญญาทีละฉบับ) ซึ่งก็คือ การก่อหนี้สาธารณะ นับเป็นงบประมาณรายรับได้ คือ เป็นรายรับจากการกู้ยืม แต่เมื่อถึงครบกำหนดอายุพันธบัตร ก็ต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายไว้สำหรับชำระหนี้คืน
• หนี้สาธารณะ จึงเป็นได้ทั้ง งบประมาณรายรับ และงบประมาณรายจ่าย
• นอกจากพันธบัตร ยังอาจมีการกู้เงินจากรัฐบาลต่างประเทศ หรือทำพันธบัตรไปขายต่างประเทศ หนี้สาธารณะจึงเป็นได้ทั้งหนี้ในประเทศและหนี้ต่างประเทศ
• ต้องมี สาธารณะ ต่อท้าย เพราะ กู้เงินมาสร้าง รร. เพื่อให้ “สาธารณชน” ได้ประโยชน์ และ “สาธารณชน” ต้องเป็นคนจ่ายหนี้สาธารณะนั้น การชำระหนี้ทำได้อย่างไร ชำระทางภาษีมูลค่าเพิ่มเวลาเราไปซื้อสินค้า ถ้าไม่พอก็ต้องมีการเก็บภาษีมรดก ภาษีทรัพย์สิน ๔-๕ ปี ที่ผ่านมามีการพูดถึงเรื่องนี้เยอะ เพราะว่าหนี้สาธารณะมีจำนวนเยอะขึ้น
o ขอบข่ายวิชานี้ จึงเป็นการทำงบประมาณรายรับ รายจ่าย การวางแผนหนี้สาธารณะ มีเทคนิคในการจัดการอัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน
o เรียนวิชานี้เพื่ออะไร ทำไมนักบริหารไทย จึงต้องมีองค์ความรู้ในวิชานี้
• เราเป็นนักบริหารอยู่ในองค์การ เรื่องคนก็พอทำได้ การเงินรู้แค่ประหยัดรายจ่ายหารายได้ให้มาก การจัดการก็ใช้ประสบการณ์ทำไปได้ ในองค์การของเราเราจึงพอจะมีความสามารถที่จะจัดการมันได้เพราะอยู่กับมันทุกวัน มีประสบการณ์
• แต่สิ่งที่นักบริหารไทยสู้นักบริหารนานาชาติไม่ได้ เช่น เศรษฐกิจที่มาจากภายนอกองค์การ ไม่รู้ว่ามันสร้างโอกาสหรือข้อจำกัดให้กับเรา เช่น ภาวะเงินเฟ้อเงินฝืด หมอไทยไม่เข้าใจ พอต้องบริหารจึงบริหารไม่ได้ งบปี ๕๔ จะขาดดุลอีก ๔๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งก็ต้องสร้างหนี้สาธาระเพิ่ม แล้วจะบอกว่าเศรษฐกิจฟื้นได้อย่างไร เราต้องมองให้ออกว่ามันเป็นโอกาสหรือข้อจำกัด เช่น ถ้าอยู่ในกรม เห็นงบขาดดุล แสดงว่าเตรียมตัวโดนตัดงบฯ ถ้าเป็นเอกชนก็อาจจะต้องไม่ตัดสินใจขยายงาน แต่ถ้าเห็นงบแบบสมดุล แสดงว่าเริ่มมีโอกาสเกิดขึ้นแล้ว
• นักบริหารต้องดูสิ่งแวดล้อมภายนอกให้เป็น คือ ดูสภาพแวดล้อมภายนอก ซึ่งเราควบคุมไม่ได้ แต่ต้องดูให้ออกว่า เป็นโอกาส หรือเป็นอุปสรรคกับองค์การของเรา
• วิชานี้จึงเป็นวิชาที่ให้เราเรียนรู้เรื่องสภาพแวดล้อมภายนอกอีกตัวนึง เพื่อให้เราดูให้ออกวิเคราะห์ให้ได้ว่าสภาพแวดล้อมนั้นจะสร้างโอกาสหรืออุปสรรคให้กับองค์การของเรา ถ้าเห็นโอกาส ก็ต้องคิดกลยุทธ์เชิงรุกไปรับโอกาสนั้น ถ้าเห็นข้อจำกัดก็ต้องคิดกลยุทธ์ตั้งรับ หรือมาตรการรองรับผลกระทบเชิงลบของสภาพแวดล้อมให้ได้
• เช่น ปีนี้ดอกเบี้ยจะขึ้น นับเป็นข้อจำกัดของบริษัทที่ต้องกู้เงิน ถ้าดอกเบี้ยจะลง นับเป็นโอกาส
ภาพสรุปรวมความเข้าใจของวิชานี้
o เวลาเรามองเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร อะไรคือปัจจัยสาเหตุที่เศรษฐกิจแต่ละประเทศแตกต่างกัน คำตอบคือ นโยบายการเงิน นโยบายการคลัง นโยบายการเงินการคลังเป็นตัวแปรต้น (เหตุ) สภาพเศรษฐกิจเป็นตัวแปรตาม (ผล) ถ้าอยากรู้ว่าสภาพเศรษฐกิจฟินแลนด์ทำไมถึงดี ต้องเอานโยบายการเงินการคลังของฟินแลนด์ย้อนหลังไปสักสิบปีมาดูจะทำให้เข้าใจได้
o นโยบายการเงินที่ผลิตออกมาคุณค่าเป็นแค่ผลผลิต (output) ขึ้นอยู่กับหน่วยที่เอานโยบายการเงินไปปฏิบัติ หน่วยเหล่านั้นได้แก่ ธนาคารกลาง (ของไทยคือ ธปท. หรือธนาคารแห่งประเทศไทย) และสถาบันการเงินต่างๆ ที่จะเป็นผู้นำนโยบายไปปฏิบัติ ว่ามีประสิทธิภาพหรือไม่มีประสิทธิภาพ ถ้าไม่มี ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ (economic outcome) ก็จะเป็นลบ ถ้ามีประสิทธิภาพก็จะมีผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจก็จะเป็นบวก
o นโยบายมีคุณค่าแค่ผลผลิต ก็เหมือนให้ผลิตนโยบายการเป็นนศ.ป.โทที่ดี ซึ่งทุกคนทำได้เต็มสิบแน่นอน แต่เกรดหรือผลลัพธ์ของการเรียนจึงแตกต่างกันเพราะประสิทธิภาพในการนำนโยบายไปปฏิบัติของนศ.แต่ละคนไม่เหมือนกัน การบริหารเน้นผลลัพธ์มากกว่าผลผลิต เพราะผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของผู้นำนโยบายไปปฏิบัติ ธนาคารกลางของเยอรมัน กับธนาคารกลางของไทย เก่งไม่เท่ากัน ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจของสองประเทศจึงไม่เท่ากันอ.กิตติ/2
เศรษฐกิจเกิดปัญหา ผลกระทบ (Impact) เกิดกับประชาชน นักบริหารจึงต้องไม่งมงายอยู่กับผลผลิต แต่ต้องมุ่งที่ผลลัพธ์กับผลกระทบ ผลลัพธ์ต้องเป็นบวกเยอะๆ ผลกระทบแง่ลบต้องมีน้อยๆ
o ตัวอย่างการขาดประสิทธิภาพด้านการเงินของประเทศไทย
• กรณีธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ (BBC) ตุลา ๓๗ มีข่าวออกมาแล้วว่าสภาพไม่ดี แต่ไม่มีการจัดการอะไรเลย มีแต่ช่วยกันปิด จนเรื่องแดงออกมาในปี ๓๙ รัฐและธปท.ตัดสินใจผิดโดยการเอาเงินเข้าไปอัดฉีด ๑๖๐,๐๐๐ ล้านบาท เหมือนให้คีโมกับซากศพ ให้เลือดกับซากศพ แล้วในที่สุด BBC ก็ต้องตายไปอยู่ดี เงินที่อัดฉีดไป ๑๖๐,๐๐๐ ล้านบาท ก็ต้องมาเข้าบัญชีหนี้สาธารณะของประเทศ เป็นการโอนความเสียหายจากธนาคารกลางมาให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการคลังก็ต้องเอามาใส่หนี้สาธารณะ หนี้สาธารณะมากก็ต้องขึ้นภาษี คำถามคือ ความเสียหายของธนาคารเอกชน เกี่ยวอะไรกับประชาชนทั่วไปด้วย
• หนี้สาธารณะ โดยปรัชญา ต้องก่อเพื่อเป็นงบลงทุน เหมือนเปียแชร์ซึ่งเป็นการก่อหนี้ ถ้าเอาไปแทงหวย ก็ไม่เกิดผล แต่ถ้าเอามาผ่อนแท๊กซี่ไว้หารายได้ ก็สามารถหาเงินมาคืนได้ หนี้สาธารณะที่ก่อต้องเอาไปใช้ลงทุนเพื่อให้สาธารณชนในอนาคตได้ใช้ เช่น มีรร.ให้เด็กในอนาคต และเด็กในอนาคตก็ต้องเป็นคนจ่ายเงินนั้น การที่เด็กจ่ายเงินนั้นก็ถูกต้องถ้าเค้าได้มีสินทรัพย์ไว้ใช้ หนี้สาธารณะเป็นหนี้ระยะยาวและเป็นทรัพย์สินระยะยาว เพราะฉะนั้นหนี้สาธารณะต้องใช้เพื่องบลงทุน ห้ามเอามาใช้เป็นงบประจำ
• หนี้สาธารณะ โดยปรัชญา เป็นตัวฉุดเศรษฐกิจ เปรียบเหมือนนักโทษในคุก บางคนเดินไปข้างหน้าได้ช้า บางคนเดินได้เร็ว ขึ้นอยู่กับขนาดของโซ่ตรวน นักโทษคือเศรษฐกิจ จะเดินไปข้างหน้าได้เร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับขนาดของหนี้สาธารณะ หนี้สาธารณะของประเทศไทยในปี ๓๙ มีถึง ๙๐๐,๐๐๐ ล้านบาท (อ.คิดตามหลักการว่าไม่ควรเกิน ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท) เหมือนคนที่มีเงินเดือน ๙,๐๐๐ บาท แต่มีหนี้ ๒๓ ล้านบาท
• ยังไม่ช่วย BBC มีหนี้ ๙๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ปี ๔๐-๔๑ รวมการช่วยเหลือสถาบันการเงินทั้งหมด ๑,๖๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ปี ๔๔ หนี้สาธารณะขึ้นมาเป็น ๒,๘๐๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยที่ไม่มีการลงทุนทรัพย์สินใดๆ เลย ม.ค.๕๓ มีหนี้สาธารณะ ๓,๖๐๐,๐๐๐ ล้านบาท มาจากรับหนี้นอกระบบมาอีกแสนกว่าล้านบาท เช็คช่วยชาติ ฯลฯ
• เศรษฐกิจไทยจะแย่ถึง ๕๘ เพราะไทยสร้างหนี้สาธารณะเกินขอบเขต
• มิ.ย.๕๒ ขอกู้เพิ่ม ๑,๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท คือ ขอขอบเขตกู้เพิ่มในอนาคต (ยังไม่รวม ม.ค.๕๓ อีก ๓,๖๐๐,๐๐๐ ล้านบาท) เท่ากับว่าเรามีโอกาสมีหนี้สาธารณะได้ถึง ๔,๗๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ทำให้ต้องมีการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพื่อมาล้างหนี้ ปีละ ๑๕๐,๐๐๐ ล้านบาท ถ้าไม่ต้องจ่ายหนี้สาธารณะก้อนนี้ จะสามารถสร้าง รพ.รัฐ / รร.รัฐ ได้อีกมากเท่าไหร่ นอกจากนี้ ๑๕๐,๐๐๐ ล้านบาทนั้น สามารถชำระหนี้ได้เพียง ๓๐,๐๐๐ ล้านบาทต่อปี
• การไม่ปล่อยให้ BBC ตาย เท่ากับทำให้ตายหมู่ เพราะเป็นการโอนความเสียหายจากภาคการเงินมาไว้ที่ภาคการคลัง และส่งต่อมาให้สาธารณะ ปัญหาของ BBC จึงไม่ใช่ปัญหาของ BBC แต่เป็นปัญหาของประสิทธิภาพในการบริหารของธปท. เพราะธปท.เลือกเข้าไปช่วยสถาบันการเงินทั้งหมด รวมทั้งบริษัทเงินทุนทั้ง ๙๐ กว่าแห่ง แต่ ๕๖ แห่งตายไปพร้อมกัน คำถามคือ บริหารยังไงถึงทำให้บริษัทเงินทุนตายพร้อมกันได้ ทั้งที่อัดฉีดเงินเข้าไปตั้งมากมายแล้ว การทำอย่างนี้จึงเป็นการตัดโอกาสของประชาชนในการได้รับการพัฒนาประเทศ
• จริงๆ ด้วยมูลหนี้ปัจจุบัน ต้องขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว แต่ไม่มีใครกล้าขึ้น เพราะกลัวแพ้การเลือกตั้งในครั้งหน้า
• ธปท.นำนโยบายไปบริหารผิดพลาด ผลกระทบจึงตกที่ประชาชน
• อีกตัวอย่าง ได้แก่ ปัญหาสินเชื่อบัตรเครดิต เป็นปัญหาที่เกิดจาก กติกาเบี่ยงเบน ซึ่งเป็นเพราะ ธปท.ดูแลไม่ดี จนบัตรเครดิตมีง่ายเกินไป มีบัตรเครดิตใช้อาจจะดี แต่ต้องดูว่าเหมาะสมหรือไม่
• อุปสงค์แท้ คือ พร้อมจะบริโภค แต่อุปสงค์เทียม คือ ไม่พร้อมที่จะบริโภค แต่ได้บริโภคเพราะว่าบัตรเครดิต อุปสงค์มาแรง แต่อุปทานตามไม่ทัน ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ แย่งกันกินแย่งกันใช้ ราคาสินค้าจึงเพิ่มขึ้น ปี ๓๗-๓๙ เงินเฟ้อไทยขึ้นไปถึง ๗-๑๐ เปอร์เซ็นต์ (มาตรฐานโลก เกิน ๕ เรียกว่าบ้า)
• เศรษฐกิจไทยเจ๊งปี ๔๐ เพราะอีกปัจจัยคือ อัตราเงินเฟ้อ ซึ่งเกิดจากสินเชื่อบัตรเครดิต ก่อน ๔๐ คนใช้บัตรเครดิต ๖๐,๐๐๐ ล้าน ปี ๔๑-๔๒ เหลือแค่ ๒๙,๐๐๐ ล้าน แสดงว่า ที่หายไปกว่า ๔๐,๐๐๐ ล้าน เป็นอุปสงค์เทียม
• คนไทย ๔๔ ล้านคน มีรายได้เข้า มีรายจ่ายออก แต่คนไทยอีก ๒๐ ล้านคน มีแต่รายจ่ายออก ไม่มีรายได้เข้า ทำให้เศรษฐกิจจุลภาคเสีย จุลภาคเสีย มหภาคก็จะเสียไปด้วย กรณีของไทย ๔๔ ล้านคนหาเลี้ยง ๒๐ ล้านคนไปด้วย
• ธปท. เคยเปลี่ยนกติกา มาใช้ ๒๐,๐๐๐ บาท/เดือน ๒๒ ปีขึ้นไป แต่ใช้ได้แค่ ๓ ปี ก็ลดลงมาเหลือ ๘,๐๐๐ บาท เพราะโดนกดดันจากภาคธุรกิจการผลิต เนื่องจากขายสินค้าไม่ได้ เพราะอุปสงค์เทียมมันหายไป แต่ใช้ได้ ๓ เดือนก็ต้องเปลี่ยนเป็น ๑๕,๐๐๐ บาท เพราะครม.สั่งให้เปลี่ยน
• ประเทศไทยปัจจุบันใช้ทฤษฎีเคนเชียน ในกรณีที่หนี้สาธารณะเยอะขนาดนี้ ไม่มีผลดีเกิดขึ้น
• หลักภาษีที่ดี ต้องเท่าเทียม (equity) ไทยกลับเอาเงินภาษีกว่า ๖-๗ แสนล้านมาลงทุนทำรถไฟฟ้าใน กทม. ซึ่งขาดทุนมาต่อเนื่องเป็น ๑๐ ปี และคนที่ได้ประโยชน์ก็มีเพียงคนใน กทม.ไม่กี่คน (เมื่อเทียบกับทั้งประเทศ)
• เศรษฐกิจพังเองไม่ได้ ต้องมีคนกระทำ ปัญหาอาจไม่ใช่การเจตนาทุจริต แต่เป็นเพราะการบริหารงานที่ผิดพลาด (miss management)
o นโยบายการคลังที่ผลิตออกมา คุณค่าก็แค่ผลผลิตเช่นกัน ขึ้นอยู่กับหน่วยงานที่นำนโยบายนั้นไปใช้ ได้แก่ กรมเก็บภาษี (ด้านรายรับ) และกระทรวงทบวงกรมต่างๆ (ด้านรายจ่าย) ถ้านำไปปฏิบัติไม่มีประสิทธิภาพ ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจก็เป็นลบ
o ตัวอย่างการขาดประสิทธิภาพด้านการคลัง
• การใช้จ่ายเงินงบประมาณ ใส่งบประมาณเข้าไป ๑๐๐ ผลผลิตควรจะต้องคุ้มค่า แต่ปัจจุบันไม่คุ้ม เช่น GT200 ซื้อมา ๑ ล้าน มูลค่า ๕๐๐ บาท แถมไม่รู้ว่าเกิดผลลัพธ์หรือไม่ ใส่เงิน ๑๐๐ ล้าน ได้ ๖ กม. (มาตรฐานควรได้ ๗.๘ กม.) แถมผลลัพธ์คือ ความพึงพอใจของประชาชน ดูจากการที่ประชาชนไม่มาใช้ แถมใช้แล้วพังเร็ว แสดงว่าไม่คุ้ม หรือสวนสาธารณะที่มีไว้ให้โจรดักปล้นเพราะแสงไฟไม่เพียงพอ
• รูปแบบของงบประมาณที่ใช้ กับที่เกิดขึ้นจริง ไม่ตรงกัน
• เวลาที่เกิดเงินเฟ้อ แสดงว่าในตลาดมีเงินมาก ท้องเฟ้อต้องเอาลมออก เงินเฟ้อก็ต้องเอาเงินออก โดยการตั้งงบประมาณรายรับให้สูงกว่ารายจ่าย (รายรับ ๑๐๐ จ่าย ๘๐) คือ เรียกภาษีสูงกว่างบประมาณที่จะใช้ ซึ่งก็คือการตั้งงบประมาณเกินดุล
• เวลาที่เกิดเงินฝืด ประตูฝืดต้องใส่น้ำมัน เงินฝืดก็ต้องใส่เงิน โดยการตั้งรายจ่ายให้สูง รายรับให้ต่ำ (รายรับ ๘๐ จ่าย ๑๐๐) เรียกว่างบประมาณแบบขาดดุล
• ส่วนจะเอาเงินใส่หรือจะเอาเงินออกมากเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมในเวลานั้นๆ และการตั้งเป้าหมายทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน
• ในเวลาที่เศรษฐกิจปกติ ไม่เฟ้อไม่ฝืด ให้ใช้งบประมาณแบบสมดุล (รับ ๑๐๐ จ่าย ๑๐๐) มีแค่ปี ๔๗-๔๘ ที่ใช้แบบนี้ได้ ซึ่งไม่ได้แปลว่าเศรษฐกิจดี แต่แค่พอใช้ได้
• ปี ๓๘-๒๙ งบประมาณที่ตั้งไว้จ่ายได้จริงแค่ประมาณ ๗๕ เปอร์เซ็นต์ (ปีที่ปฏิวัติได้เพียง ๕๐) รายรับเก็บเกินเป้าเฉลี่ย ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ต่อปี ปัญหาคือ จากเดิมเคยตั้งใจจะเกินดุล ๒๐,๐๐๐ ล้าน กลายเป็นเกินดุล ๖๐,๐๐๐ ล้าน ผิดเป้า หรือตั้งใจให้ขาดดุล ๒๐ แต่กลายเป็นเกินดุล ๒๑
• ทางทฤษฎีมีขาดดุล เกินดุล สมดุล แต่ทางปฏิบัติมีแต่เกินดุล เกินดุล เกินดุล เพราะว่ากรมเก็บภาษีคิดว่าเก็บได้เกินเป้าคือมีประสิทธิภาพ กรมใช้เงินคิดว่าใช้ได้น้อยคือมีประสิทธิภาพ ทำให้นโยบายที่วางไว้ผิดพลาดไป เป้าหมายจึงผิดพลาด ควรขาดดุลเพื่อเอาเงินเข้าระบบ แต่กลายเป็นเกินดุลคือเอาเงินออกจากระบบตลอดเวลา
o เศรษฐกิจไทยพัง เพราะพลาดทั้งฝั่งการเงิน และฝั่งการคลัง คราวนี้พังตั้งแต่ต้น ๔๙ ก่อนปฏิวัติ เพราะฉะนั้น เศรษฐกิจพังไม่ใช่เพราะปฏิวัติ เศรษฐกิจพังไม่ใช่เพราะสหรัฐพัง ของไทยเศรษฐกิจไทยพังมาปี ๔๐ ปี ๔๗ มะเร็งหลบใน มองไม่เห็นมะเร็ง แต่ร่างกายยังอ่อนแออยู่ภายใน ปฏิวัติเหมือนโดนไม้ตีหัวซ้ำครั้งแรก สหรัฐเจ๊งเป็นไม้ตีหัวครั้งที่สอง ร่างกายที่อ่อนแอแต่ดูเหมือนแข็งแรงเพราะมะเร็งหลบในจึงทรุดลงไป
o การวิเคราะห์ในระบบเปิด
• วิเคราะห์แบบนี้เป็นแค่แบบระบบปิด เพราะดูแค่นโยบายการเงินการคลังและระบบเศรษฐกิจเท่านั้น เป็นมุมมองแคบ จะเปิดได้ต้องเอาปัจจัยทางระบบสังคมเข้ามาด้วย เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจไทยไม่ต้องโตมาก แต่ระบบสังคมไปได้ ก็ถือว่าโอเคแล้ว แต่ถึงแม้เศรษฐกิจดีก้าวหน้าก้าวไกล แต่สังคมล่มสลาย ก็ไม่มีประโยชน์ เช่น เศรษฐกิจไทยโต แต่เด็กติดยาบ้า เด็กติดเกมทั้งประเทศ ปัญหาเหล่านี้ทำให้ต้นทุนทางสังคม (Social cost) สูง
• เศรษฐกิจไทยไปได้ สังคมอยู่ได้ แต่การเมืองล่มสลาย เช่นในปัจจุบัน ก็ไม่ได้ เพราะสุดท้ายการเมืองเละเทะก็ไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจดีได้ เช่น ที่ไต้หวัน ที่เศรษฐกิจเริ่มทรงตัว และตกต่ำ เพราะการเมืองเละเทะ สส.ตบตีกันทุกสัปดาห์
• นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยก้าวหน้าก้าวไกล แต่วัฒนธรรมล่มสลาย สิ่งแวดล้อมถูกทำลาย วัฒนธรรมไม่ใช่กระบวนการต่างๆ ในพิธีกรรม เพราะเหล่านั้นเป็นแค่กุศโลบาย แต่คุณค่าของวัฒนธรรม คือการรวมศูนย์ใจคนไทยไว้ต่อสู้กับวิกฤตต่างๆ ประเทศที่มีวัฒนธรรมแข็งแกร่ง จึงสามารถเผชิญกับวิกฤตต่างๆ ได้ดีกว่า เช่น เกาหลีใต้ ที่มีวัฒนธรรมแข็งแกร่ง (เซมาอึนอุนดง หล่อหลอมสามัคคีในชาติ) ทำให้เกาหลีสามารถออกจากวิกฤตเศรษฐกิจได้ก่อนไทย โดยที่ประชาชนเกาหลีเอาทองคำมาให้รัฐบาลกู้ เพื่อมาเป็นหลักประกัน หรือทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ ไม่ต้องกู้ไอเอ็มเอฟ ใช้เวลาแค่ ๑ ปี ๗ เดือนก็ออกจากวิกฤติได้ เพราะฉะนั้นออกแบบเศรษฐกิจต้องออกแบบวัฒนธรรมให้สอดคล้องกัน
• เศรษฐกิจจะเติบโตปานใด แต่ถ้าสิ่งแวดล้อมถูกทำลายย่อยยับก็ไม่เกิดประโยชน์ เผลอๆ ต้นทุนในการบูรณะฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมจะสูงกว่าความเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยซ้ำ เช่น มาบตาพุดที่มีปัญหามากว่า ๑๕ ปี จนต้องย้ายโรงเรียนหนี เพราะเด็กกว่า ๘๐ เปอร์เซ็นต์มีปัญหาสุขภาพทั้งทางเดินหายใจและผิวหนัง หรือ โรงไฟฟ้าแม่เมาะ ที่มีปัญหาจนหมู่บ้านต้องย้ายหนีเช่นกัน หรือคลองแสนแสบที่ถ้าจะบูรณะต้องใช้ถึง ๒๐,๐๐๐ กว่าล้านบาท แพงกว่าความเติบโตของเศรษฐกิจสองฝั่งคลองแสนแสบ เพราะฉะนั้นเราต้องไม่ละโมบทางเศรษฐกิจมากเกินไป ธุรกิจต้องไม่คิดแต่มุมมองทางธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมองความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย
อ.กิตติ/3
3วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี “การออกแบบพัฒนาเศรษฐกิจที่ตกอยู่ภายใต้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแบบพึ่งพา จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตแบบไม่ยั่งยืน”
• บัญชีเดินสะพัด ใช้ในการเก็บสะสมยอดได้เงินตราระหว่างประเทศ (+) และเสียเงินตราระหว่างประเทศ (-) ได้เงินตราจากส่งของออกไปขาย คนต่างประเทศมาเที่ยวบ้านเรา รับบริจาคซึนามิ เสียจากไปเที่ยวบ้านเขา สั่งเครื่องจักรเข้า สั่งรถยนต์เข้า บริจาคให้ติมอร์ตะวันออก ดุลบัญชีเงินสะพัดของไทยติดลบมา ๓๐-๔๐ ปีแล้ว จากการนำน้ำมัน นำก๊าซ นำเครื่องจักรเข้า และมากที่สุดในปี ๓๙ ติดลบไปถึง -๘.๒ เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี (มาตรฐานไม่ควรติดลบเลย) เหมือนคนค้าขาย ไม่ควรปล่อยให้ขาดทุนเลย ยิ่งขาดทุนสะสม ๓๐-๔๐ ปี เศรษฐกิจจะทนไหวได้อย่างไร
• หนี้สาธารณะมีมาก ต้องหาทางเพิ่มรายได้มาล้างหนี้ แผนการหาเงินของรัฐบาลยังไม่มี แสดงออกได้ทางบัญชีเดินสะพัด คือ แนวทางการค้าขายทำกำไรให้กับประเทศ แต่ถ้ายังหาเงินไม่ได้ ส่งออกน้อยกว่านำเข้า ยึดสนามบินไปเรื่อยๆ เงินไม่เข้าประเทศ มีแต่เงินออก บัญชีเดินสะพัดก็จะลบไปเรื่อยๆ ปี ๔๕-๔๖ ดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นบวกจนคนดีใจทั้งประเทศ แต่ต้องดูไส้ในด้วย ปี ๔๔-๔๕ เศรษฐกิจยังไม่ดี ยอดส่งออกยังลดลงอยู่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไปด้วยคือ ยอดนำเข้าลดลงมากกว่า เพราะคนต่างประเทศไม่ยอมส่งของมาขายเพราะเห็นว่าประเทศไทยมีวิกฤตเศรษฐกิจอยู่จึงไม่มั่นใจ เพราะฉะนั้นยอดนำเข้าจึงลดลงมาก ยอดนำเข้าลดลงมากกว่ายอดส่งออกลดลง ทำให้บัญชีเดินสะพัดจึงเป็นบวก
• เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจะเติบโต แต่เติบโตบนเศรษฐกิจแบบพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ก็จะทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดติดลบต่อไปเรื่อยๆ เศรษฐกิจก็จะไม่มีเสถียรภาพ ตลาดผลไม้ของไทยส่งออกได้ปีละประมาณ ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท แต่เครื่องจักร ๒ เครื่องเพื่อใช้ในโรงเหล็กรีดร้อน ราคา ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท ประเทศไทยใช้แรงเยอะใช้หัวน้อย ต่างกับต่างชาติที่ใช้หัวเยอะใช้แรงน้อย เพราะฉะนั้นถ้าจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ ไทยต้องมีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง โดยอาจตั้งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งชาติแล้วเอาเด็กตั้งแต่ ๕ ขวบมาเรียน เพราะว่าระบบการศึกษาแบบเดิมของไทยใช้การไม่ได้
• ไทยไม่หาทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศโดยการพึ่งพาการค้าขายหรือเทคโนโลยี แต่ไปเลือกใช้วิธีการให้ต่างชาติมาลงทุนตั้งโรงงานรถยนต์
• การที่เศรษฐกิจของไทยจะยั่งยืนหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าไทยมีเทคโนโลยีเป็นของตัวเองหรือไม่ โดยกระทบผ่านทางดุลบัญชีเดินสะพัด
o ออกแบบให้สมดุลได้อย่างไร
• นโยบายการคลัง ออกแบบให้สมดุลกับ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเศรษฐกิจ เช่น บริษัทไหนจ่ายเงินค้นคว้าวิจัยพัฒนาสินค้าไปเท่าไหร่ ให้สามารถเอาค่าใช้จ่ายในการค้นคว้าวิจัยมาลดหย่อนภาษีให้สองเท่า เพราะถ้าวิจัยสำเร็จ ส่งออกได้มาก บัญชีเดินสะพัดติดบวก เศรษฐกิจไทยก็เจริญ ต้องให้เอกชนทำเพราะรอรัฐไม่ได้ กท.วิทย์มีงบแค่ ๐.๐๐๐๑ เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีเท่านั้น (สวิสฯ ให้ ๓ เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี ทำให้มีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสูง ทำให้จีดีพีสูง) (อ่านหน้า ๒๙-๓๑ ของหนังสือ วิสัยทัศน์ฯ)
• การออกแบบทุกอย่างต้องคำนึงถึงกระแสคิดของสังคมโลก (Globalization) คือ รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง เช่น นโยบายการเงินของไทยต้องดูกระแสการรวมสกุลเงินตราของยุโรป เพราะถ้ารวมกันจะกระทบกับอัตราแลกเปลี่ยน ต้องออกแบบนโยบายการเงินให้เหมาะสม ต้องสนใจเรื่องสิทธิศักดิ์ศรีของความเป็นคนในกระแสโลก ยุโรปกับออสเตรเลียให้ศักดิ์ศรีคนทุกคนเท่าเทียมกัน ตอนนี้มีรัฐสภายุโรป แล้วรัฐสภาแต่ละประเทศเหมือนเป็นสาขา มีรัฐธรรมนูญเดียว รวมกันทั้งเศรษฐกิจ การเมือง เพื่อความอยู่รอด
ภาพรวมของสถาบันการเงิน
o สถาบันการเงินเป็นตัวจักรหรือกลไกที่สำคัญในระบบเศรษฐกิจ ถ้ารถไฟทั้งขบวนคือระบบเศรษฐกิจ หัวรถจักรคือสถาบันการเงิน รถยนต์จะวิ่งได้ต้องมีเครื่องยนต์ เครื่องยนต์คือสถาบันการเงิน
o ความจำเป็นที่ต้องมีสถาบันการเงิน (หน้า ๓๓-๓๔)
• สนองตอบต่อนโยบายการเงินของรัฐ (หน้า ๓๓)
• เงินในประเทศมี ๒ ก้อน ได้แก่ เงินออม (เงินฝาก Saving) และ เงินลงทุน (เงินปล่อยกู้ Investment)
• รัฐ โดยธปท. มีหน้าที่บริหารเงินสองก้อนนี้ให้เติบโตไปอย่างเป็นระบบ เพราะว่าถ้า S โต I โต GDP ก็โต เงินออมเอามาปล่อยกู้ ทำให้เกิดการจ้างงาน เกิดการผลิต จีดีพีก็โต เช่น นโยบายให้ปล่อยกู้ SMEs เยอะๆ นโยบายสนับสนุนการออม
• รัฐลงมาให้ประชาชนออมเองไม่ได้ ปล่อยกู้เองไม่ได้ จึงต้องใช้สถาบันการเงินเป็นตัวจักร
• ส่งเสริมการค้าภาคเอกชน (หน้า ๓๕)
• เช่น ใช้เช็คแทนเงินสด ไม่ต้องนับเงินให้เสียเวลา สั่งของจากนอกผ่านสถาบันการเงินทำให้ต่างประเทศเชื่อถือ
• เอื้อต่อประชาชน
• เช่น เงินขาดไป ๓,๐๐๐ ตอนกลางคืน ก็ไปกดที่ตู้เอทีเอ็มได้ อยากออมเงินซื้อบ้าน ก็ไม่ต้องออมจนครบ แต่พอแบงค์เห็นว่าออมได้ก็ให้ผ่อนได้ โอนเงินไปให้ลูกที่อยู่ต่างจังหวัดได้
• ส่งเสริมระบบเศรษฐกิจโดยมวลรวมของประเทศ
• ในทัศนะของอ. ข้อนี้สถาบันการเงินไม่ได้ส่งเสริมแต่กลับทำลายระบบ ปี ๔๑ สถาบันการเงินทั้งระบบปล่อยกู้ ๕,๖๐๐,๐๐๐ ล้านบาทไทย มีหนี้เสีย ๒,๘๐๐,๐๐๐ ล้านบาทไทย เท่ากับมีหนี้เสียกว่า ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ธปท.ไทยต้องใช้เงินเข้าไปสนับสนุน
• ปัญหามาจากมาตรการตรวจสอบดูแลของ ธปท. ล่าสุดยังปล่อยให้ธนาคารทหารไทยล้มได้
o ความสำคัญ (หน้า ๓๗)
• ทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพภายใต้ความยั่งยืน
• เติบโตแบบไม่เสถียรภาพไม่ดี เช่น ค่าเงินแกว่ง เดี๋ยวเงินเฟ้อ เดี๋ยวเงินฝืด ถ้าเป็นแบบนี้องค์การจะอยู่ไม่ได้ เหมือนเรืออยู่ในทะเลเศรษฐกิจที่บ้าคลั่ง
• สถาบันการเงินเป็นตัวกำหนดว่า เศรษฐกิจจะแกว่งหรือจะเสถียร แล้วจะเสถียรแบบยั่งยืนได้หรือไม่
• ช่วยควบคุมสภาวะเศรษฐกิจ (หน้า ๔๐)
• ยามที่เกิดเงินเฟ้อ (เงินในตลาดเยอะ) นโยบายการเงินในขณะนั้นควรตรึงดอกเบี้ยเงินกู้หรือเงินฝากสูงหรือต่ำ คำตอบคือ สูง เพราะว่าเงินเฟ้อคือเงินเยอะ จึงต้องชะลอการเอาเงินเข้าสู่ระบบ เมื่อดอกเบี้ยเงินกู้สูง นักธุรกิจก็ไม่กล้ากู้ไปลงทุน เงินจึงไม่เข้าสู่ระบบ ดอกเบี้ยเงินฝากสูง คนก็จะอยากฝากเงิน ไม่ใช้เงิน เงินก็ไม่เข้าสู่ระบบ
• ยามที่เกิดเงินเฟ้อ นโยบายการคลัง จะต้องใช้งบประมาณแบบเกินดุล เพราะงบแบบเกินดุล คือ เก็บภาษีมาก ใช้จ่ายให้น้อย เป็นการดูดเงินเข้ามา
• มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายการเงินของประเทศ (หน้า ๔๐)
• ประเทศไทยเข้าใจผิดว่า นโยบายการเงินของประเทศ ธปท.ต้องเป็นคนคิดแต่เพียงผู้เดียว สถาบันการเงินมีหน้าที่ทำตามนโยบายเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงสถาบันการเงินอยู่ใกล้ชิดประชาชนอยู่ใกล้ความจริงใน ๗๖ จังหวัดมากกว่าธปท. ดังนั้นการกำหนดนโยบายที่ดีตามมาตรฐานโลก รัฐกับเอกชนต้องมาร่วมมือกัน เช่น ในยุโรปที่ธนาคารกลางแทบจะไม่ต้องทำหน้าที่คิดอะไรเลย เพราะสถาบันการเงินเป็นคนคิดให้เสร็จสรรพ เพราะมีข้อมูลที่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงมากกว่า
• เศรษฐกิจการเงินคนที่เป็นต้นตำรับคือ ยุโรป ไม่ใช่สหรัฐ ตั้งแต่กว่า ๑,๕๐๐ ปีมาแล้ว เงินในสมัยนั้นคือ เกลือ เพราะใช้ในการถนอมอาหาร คนจะถนอมอาหารได้ต้องมีเกลือ
• (หน้า ๑๗๔) คำสั่งของกระทรวงการคลัง ให้สอบสวนธปท.
• รายงานผลการสอบสวน (หน้า ๑๘๕-๑๙๐) (หน้า ๑๘๗ ข้อ ๔๓๔***) ๑. ธปท.มีความสับสนและขาดความรอบคอบ / ๒. คำสั่งของธปท.บางครั้งไม่สามารถปฏิบัติได้ / ๓. เปลี่ยนคำสั่งบ่อยโดยไม่ยอมอธิบายสาเหตุเท่ากับไม่มีความรับผิดชอบควรแก้ไข
o ประเภทและจุดเน้นของสถาบันการเงิน
• สถาบันการเงินมีหลายประเภท แต่สถาบันการเงินทุกประเภทจะคลุกคลีอยู่กับ S และ I ต่างกันที่จุดขาย/จุดเน้นเท่านั้น จุดขาย เช่น ออมสิน จุดขายคือมัธยัตถ์อดออม บ.ประกันชีวิต ก็เป็นสถาบันการเงิน เบี้ยประกันเท่ากับเงินออม มีจุดขายคือ คุณภาพชีวิตของสถาบันครอบครัว
บทบาทของสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาประเทศ
o บทบาทมี ๒ บทบาท คือ เชิงธุรกิจ และเชิงพัฒนาประเทศ ในอดีตไทยให้ความสำคัญกับเชิงธุรกิจถึง ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมากเกินไป ทำให้เศรษฐกิจไทยพัง ถ้าต้องการให้ประเทศพัฒนาอย่างยั่งยืน จะต้องทำทั้งสองบทบาทอย่างละครึ่งๆ
o สภาพการดำเนินงานจริง กลับพบปัญหามากมาย
o ธนาคารพาณิชย์เอกชน ปัญหาใหญ่ๆ มีดังนี้
• การปล่อยสินเชื่อที่ไม่โปร่งใส ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ ดูได้จาก ปี ๔๑ ทั้งระบบปล่อยกู้ ๕,๖๐๐,๐๐๐ ล้านบาท เป็นหนี้เสีย (NPL) ถึง ๒,๘๐๐,๐๐๐ ล้านบาท เป็นไปได้อย่างไร ธปท.ไม่ปล่อยให้ล้มแต่กลับส่งเงินเข้าไปอุ้ม ทำให้เกิดหนี้สาธารณะมาก โดยที่หนี้สาธารณะนั้นไม่ได้ใช้เพื่อเป็นงบลงทุน กรุงไทยแห่งเดียวปล่อยกู้ ๙๗๐,๐๐๐ ล้าน เป็นหนี้เสีย ๖๕๐,๐๐๐ ล้าน
• ต้องการแข่งขันในตลาดเสรี แต่บุคลากรขาดความรู้ความสามารถที่เพียงพอต่อการแข่งขันบนการเงินเสรี อีก ๔-๕ ปีสถาบันการเงินตปท.จะเข้ามาบุกประเทศไทยได้ตามเงื่อนไขที่ประเทศไทยไปเซ็นไว้กับ WTO เช่น HSBC ทำให้เกิดการแข่งขันแบบมวยคนละรุ่น เหมือนที่โลตัสเข้ามาถล่มพ่อค้าไทย
• เทคโนโลยียังไม่เพียงพอต่อการแข่งขัน เรื่องการเงินต้องตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว แข่งกันที่ความเร็ว แต่เทคโนโลยีของเค้าสูงกว่าจึงสามารถตัดสินใจได้เร็วกว่า กองทุนของตปท.จึงเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินในประเทศไทยได้ง่าย MIS ที่มีอยู่ ก็ขาดประสิทธิภาพ ขาดคุณค่าที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจ เพราะมีแต่ข้อมูล ขาดความสามารถในการแปรสภาพข้อมูลให้เป็นสารสนเทศที่ใช้การได้
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น