o นโยบายการเงินแบบขยายตัว (Expansionary Monetary Policy)
• คือ การที่ธนาคารกลาง เพิ่มปริมาณเงินเข้าไปในระบบ โดยปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลทำให้การจับจ่ายใช้สอยหรืออุปสงค์รวมเพิ่มขึ้นด้วย
• เมื่อรัฐบาลเพิ่มปริมาณเงินขึ้น (ความต้องการใช้เงินเท่าเดิม แต่ความต้องการให้เงินเพิ่มขึ้น) ดอกเบี้ยจะลดลง คนจะกู้เงินมาจับจ่ายใช้สอยหรือลงทุนเพิ่มขึ้น ทำให้เศรษฐกิจขยายตัว
• เครื่องมือการเพิ่มปริมาณเงิน ได้แก่
• ลด Reserve Requirement (ปริมาณเงินสดสำรองตามกฎหมาย ที่สถาบันการเงินหรือธนาคารพาณิชย์จะต้องสำรองเอาไว้โดยเอาไปปล่อยกู้ไม่ได้ ต้องสำรองไว้เผื่อให้คนมาถอนหรือชดเชยหนี้เสีย) เช่น ปริมาณเงินสำรอง ๒๕ เท่ากับว่าธนาคารปล่อยกู้ได้ ๗๕ แต่ถ้าลดเหลือ ๒๐ เท่ากับปล่อยกู้ได้เพิ่มอีก ๕o กลไกการทำงานของธนาคาร จะผ่านงบดุลของธนาคาร คือ เงินฝากกับสินเชื่อ สมมติธนาคาร ก ได้รับเงินฝากจาก นาย ข มา ๑๐๐ ล้าน จะปล่อยสินเชื่อได้ ๘๐ ล้าน โดยปล่อยให้นาย ค ซึ่งจะเอาเงินไปเข้าธนาคาร ง ๘๐ ล้าน ธนาคาร ง ได้รับเงินฝากมาก็ปล่อยกู้ให้กับนาย จ อีก ๖๔ ล้าน นาย จ ไปฝากไว้ที่ธนาคาร ฉ ๖๔ ล้าน ก็ปล่อยกู้ได้............. ไปเรื่อยๆ สุดท้ายเงินฝาก ๑๐๐ ล้าน ด้วยปริมาณเงินสำรองที่ ๒๐ จะทำให้ได้สินเชื่อถึง ๔๐๐ ล้าน เรียกว่า Total lending capacity
o สาเหตุที่เกิดอย่างนี้ได้ เพราะว่าเงินจริงๆ ที่เก็บไว้ คือ ๒๐ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งทำได้บนสมมติฐานที่ว่า คนจะไม่ถอนเงินพร้อมๆ กันทั้งหมด
o การคำนวณ ต้องทำ ๓ ขั้นตอน โดยขั้นแรกต้องคำนวณปริมาณเงินสำรองก่อน โดยเอาอัตราเงินสดสำรอง (๐.๒) ตั้ง คูณด้วยปริมาณเงินฝาก (๑๐๐ ล้าน) ปริมาณเงินสดสำรองคือ ๒๐ ล้าน
o ขั้นที่สองให้คำนวณปริมาณเงินสำรองส่วนเกิน โดยเอาปริมาณเงินฝาก (๑๐๐ ล้าน) ตั้ง ลบด้วย ปริมาณเงินสำรอง (๒๐ ล้าน) ปริมาณเงินสำรองส่วนเกินคือ ๘๐ ล้าน
o ขั้นที่สาม ความสามารถในการปล่อยกู้ทั้งหมด เท่ากับ ๑ หารด้วยอัตราเงินสดสำรอง คูณด้วยปริมาณเงินสำรองส่วนเกิน (๑/๐.๒ คูณ ๘๐ ล้าน) เท่ากับ ๔๐๐ ล้าน
• ลด Discount Rate (ดอกเบี้ยนโยบาย หรือดอกเบี้ยมาตรฐาน คือ ดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางคิดเอาจากธนาคารพาณิชย์ที่มาขอกู้)
o ธนาคารกู้มาจากธนาคารกลางอีก ๑๐๐ ล้าน ต้องสำรองไว้ ๒๐ ล้าน ใช้ได้ ๘๐ ล้าน ขยายไปจนกลายเป็น ๔๐๐ ล้าน
• ซื้อคืนหลักทรัพย์ของรัฐบาล ไทยมีเพียงพันธบัตร ซึ่งธนาคารพาณิชย์มักถือเอาไว้ด้วย เมื่อถึงกำหนดเวลาไถ่ถอนคืน ธนาคารกลางก็จะคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยให้ด้วย ทำให้ธนาคารมีเงินเพิ่มขึ้น หรืออาจไม่ต้องรอให้ถึงกำหนดไถ่ถอนก็ได้
o ธนาคารกลางซื้อพันธบัตรคืน ๑๐๐ ล้าน จะไปปล่อยสินเชื่อได้อีก ๔๐๐ ล้าน
• นโยบายการเงินแบบขยายตัว โดยการคำนวณอาจดูเหมือนมีประสิทธิภาพมากเท่ากับนโยบายการคลังขยายตัว แต่ในที่สุดแล้วนโยบายการเงินแบบขยายตัว มีประสิทธิภาพต่ำสุด เพราะว่าให้ผลได้ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าคนจะมากู้เท่าไหร่ (ผู้กู้ไม่ได้อยากกู้มากเพราะกังวลเรื่องความเสี่ยงในการลงทุน Investment Risks) แล้วธนาคารจะยอมให้กู้ได้เท่าไหร่ (ความไม่เต็มใจของผู้ให้กู้ Reluctant Lenders เนื่องจากในยามเศรษฐกิจไม่ดี การปล่อยกู้จะมีความเสี่ยงสูง) แม้วงเงินให้กู้จะสูง แต่อาจไม่ได้ปล่อยกู้ได้ทั้งหมด• สถาบันเคนส์มักบอกว่านโยบายการคลังดีกว่านโยบายการเงิน
o ทฤษฎีของนักการเงินนิยม (Monetarist Theory)
การใช้นโยบายการเงินการคลังเพื่อส่งเสริมการกระจายรายได้ (ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ)
o การกระจายรายได้ เครื่องมือหลัก คือ นโยบายการคลัง นโยบายการเงินจะไม่ค่อยมีผล
o แนวความคิดพื้นฐานทางด้านภาษี
• อัตราภาษี (Tax Rate) แบ่งเป็น
• อัตราก้าวหน้า (Progressive Rate) คือ ผู้ที่มีรายได้สูงจะต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงกว่าผู้ที่รายได้ต่ำ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการภาษีที่ดี คือ หลักความสามารถในการจ่าย (Ability-to-pay principle) เนื่องจากคนแต่ละคนมีความสามารถในการจ่ายภาษีได้ไม่เท่ากัน เพราะว่าคุณค่าของเงินในมูลค่าเท่ากันของแต่ละคนไม่เท่ากัน เงิน ๑๐๐ บาทสำหรับคนจนมีความหมายมาก แต่เงิน ๑๐๐ บาทสำหรับคนรวยไม่มีความหมายอะไรเลย
• อัตราสัดส่วน (Proportional Rate) คือ ภาษีที่จ่ายในอัตราเดียว ไม่ว่าคนมีรายได้มากหรือน้อย เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม (๗) ภาษีเงินได้นิติบุคคล (๓๐ แม้จะมียกเว้นบ้างแต่ไม่ใช่ตัวหลัก)
• อัตราถดถอย (Regressive Rate) คือ ภาษีที่มีรายได้น้อยเสียในอัตราที่สูง แต่ผู้ที่มีรายได้สูงเสียในอัตราที่ต่ำกว่า ซึ่งเป็นรูปแบบภาษีที่ไม่ควรมี
• ฐานภาษี (Tax Base) คือ สิ่งที่ใช้เป็นฐานในการจัดเก็บภาษี แบ่งเป็น
• ฐานรายได้ (Income Base) คือ ภาษีที่ใช้รายได้เป็นฐานในการจัดเก็บ เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ใช้รายได้ของบุคคลเป็นฐานในการจัดเก็บ) ภาษีเงินได้นิติบุคคล (จัดเก็บจากกำไรหรือรายได้เบื้องต้นของธุรกิจ)
• ฐานการบริโภค (Consumption Base) คือ ภาษีที่ใช้มูลค่าของการบริโภค (ราคาของสินค้าและบริการ) เป็นฐานการจัดเก็บ เช่น ภาษีการค้า (Sale Tax ของไทยอยู่ในรูปแบบของ VAT) ภาษีสรรพสามิต (จัดเก็บจากสินค้าที่เราต้องการควบคุม เช่น เหล้า บุหรี่ น้ำมัน เครื่องปรับอากาศ เพื่อไม่ให้บริโภคมากเกินไป) และภาษีศุลกากร (ภาษีนำเข้า Import Tax และภาษีส่งออก Export Tax ซึ่งปัจจุบันมีการจัดเก็บน้อย เหลือเฉพาะบางธุรกิจที่ไม่อยากให้ทำ เช่น ส่งออกไม้สำเร็จรูป)
• ฐานทรัพย์สิน (Property Base) คือ ภาษีที่ใช้ทรัพย์สินมาเป็นฐานการจัดเก็บ ส่วนใหญ่จะพบในภาษีท้องถิ่น เช่น ภาษีโรงเรือนและที่ดิน (จริงๆ แล้วของไทยไม่น่านับเป็นฐานทรัพย์สิน เพราะจัดเก็บจากค่าเช่ารายปี ถ้าอยู่เองไม่ต้องเสีย เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่ามีทรัพย์สินแล้วต้องจ่าย แต่เป็นถ้ามีรายได้จากที่ดินนั้นถึงจะเสีย) ภาษีบำรุงท้องที่
• ภาษีทางตรงและภาษีทางอ้อม
• ภาษีทางตรง (Direct Tax) คือ ภาษีที่ผู้เสียภาษีเป็นผู้แบกรับภาระภาษีส่วนใหญ่หรือทั้งหมดเอาไว้ โดยผลักภาระไปให้ผู้อื่นได้น้อยหรือไม่ได้เลย ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภาระภาษีผลักให้ผู้อื่นไม่ได้) ภาษีเงินได้นิติบุคคล (ตามหลักทฤษฎีเป็นภาษีทางตรง แต่ก็อาจสามารถผลักไปให้ผู้บริโภคได้ แล้วแต่ว่าจะมากหรือน้อย แต่ฐานภาษีของไทยเป็นใช้ระบบบัญชีแบบ cost plus profit คือเอาภาษีไปบวกในต้นทุนเลย แล้วค่อยตั้งราคา ทำให้ผลักภาระให้กับผู้บริโภคได้ทั้งหมด เนื่องจากกลไกตลาดของไทยมีการแข่งขันต่ำ) ภาษีทรัพย์สิน (ของไทยเก็บจากค่าเช่า จึงผลักให้ผู้เช่าได้ จึงไม่น่าเรียกเป็นภาษีทางตรง เพราะวิธีการจัดเก็บของเราไม่ดี) ภาษีทางตรงที่สำคัญที่สุด คือ ภาษีรายได้บุคคลธรรมดา เพราะผลักภาระให้ใครไม่ได้เลยภาษีทางอ้อม (Indirect Tax) คือ ภาษีที่ผู้เสียภาษีไม่ได้เป็นผู้แบกรับภาระภาษีทั้งหมดเอาไว้ แต่สามารถผลักภาระภาษีไปให้กับผู้อื่นทั้งหมดได้ ได้แก่ ภาษีการค้า (ของไทยคือภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งผู้ขายบวกไว้ในราคาเลย) ภาษีสรรพสามิต และภาษีศุลกากรด้วย
• ประเทศที่มีภาษีทางอ้อมมากๆ จะทำให้การกระจายรายได้ไม่ดี เพราะว่าภาระภาษีที่ถูกผลักมาที่คนจนมีผลมากกว่าคนรวย ร้อยละ ๗ ของการบริโภคของคนจน กับร้อยละ ๗ ของการบริโภคของคนรวย ในสินค้าที่บริโภคเหมือนกัน คือ มีมูลค่าภาษีเท่ากัน เช่น ๗ บาท แต่ ๗ บาทของคนจนที่มีรายได้ ๑๐๐ บาทก็ถือว่ามีคุณค่า
o ปัญหาด้านโครงสร้างภาษีของไทย
• ประเทศไทยพึ่งพาภาษีทางอ้อมสูงมากอย่างผิดปกติ ทำให้อัตราภาษีของไทยเป็นแบบอัตราถดถอย
• ภาษีทางตรงที่มีอยู่น้อยมากยังไม่เอื้อต่อการกระจายรายได้อีกด้วย เพราะว่ารายได้จำนวนมากของคนรวยถูกยกเว้นภาษี ทำให้ภาษีทางตรงจากที่เป็นอัตราก้าวหน้า กลับกลายเป็นอัตราถดถอย (คนจนกับคนชั้นกลางไม่ได้รับการยกเว้น แต่คนรวยได้รับการยกเว้น)
• โครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ จัดเก็บจากรายได้ทุกประเภทของบุคคล รายได้เหล่านี้ ได้แก่ เงินเดือนค่าจ้าง (Earned Income รายได้ที่เป็นผลมาจากการทำงาน) ดอกเบี้ย เงินปันผล (ทั้งดอกเบี้ยและเงินปันผลเป็นผลตอบแทนจากการมีสินทรัพย์ทางการเงิน) ผลตอบแทนจากทุน (Capital Gain เช่น กำไรจากการซื้อขายหุ้น) มรดก (ผลตอบแทนจากการที่เกิดมาโชคดี) (ภาษาการคลังเรียกรายได้อื่นๆ ที่ไม่ได้มาจากการทำงาน ว่า Unearned Income)
• เงินเดือนค่าจ้างเป็นผลตอบแทนมาจากการทำงาน ซึ่งทำให้สังคมพัฒนาไปได้ จริงๆ แล้วจึงไม่ควรต้องเสียภาษีด้วยซ้ำ แต่ของไทยเก็บในอัตราก้าวหน้า (๕-๓๗) แต่รายได้อย่างอื่นเก็บน้อยมากหรือลดหย่อนไปหมด เช่น ดอกเบี้ยและเงินปันผลเก็บรวมกันน้อยมาก ผลตอบแทนจากทุนและมรดกไม่ต้องเสียเลย ถ้าไทยเลือกเก็บจากภาษีส่วนที่สองมากขึ้นหน่อยก็จะช่วยให้ลดการเก็บภาษีส่วนแรกได้ ช่วยในการกระจายรายได้ได้มากขึ้น ปัจจุบันภาระภาษีของประเทศอยู่ที่คนชั้นกลางมากที่สุด
o ทฤษฎีการกระจายรายได้
• กลุ่มเสรีนิยม (Liberalist Theory) เชื่อในกลไกตลาด รัฐบาลไม่ควรเข้ามาแทรกแซง เชื่อว่า กลไกตลาดจัดสรรการกระจายรายได้เหมาะสมและยุติธรรมอยู่แล้ว ยุติธรรมเพราะว่ากลไกตลาดจัดสรรการกระจายรายได้ตามความเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต (คน ที่ดิน ทุน) ถ้าเราเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตที่หาได้ยากก็ควรได้รับผลตอบแทนจากปัจจัยการผลิตที่สูงด้วย เช่น คนมีโรงงานก็ต้องได้ผลตอบแทนสูงกว่าลูกจ้างที่จบป.๔ เพราะไม่งั้นก็ไม่มีใครลงทุนสร้างโรงงาน ประเทศก็ไม่เจริญ เพราะฉะนั้นการที่คนมีรายได้ไม่เท่ากันก็ถือว่ายุติธรรมแล้ว เพราะคนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตไม่เท่ากัน การกระจายรายได้จึงไม่ใช่หน้าที่ของรัฐ
• นักสวัสดิการนิยม (Welfare Economist) เสนอว่ากลไกตลาดจัดสรรการกระจายรายได้ไม่ยุติธรรม เพราะว่าคนมีโอกาสในการเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตที่ไม่เท่ากัน (เกิดมามีไม่เท่ากัน เกิดมารวย เกิดมาจน เลือกเกิดไม่ได้ กลไกตลาดจึงเหมือนกับการจับคนมาแข่งขันกันโดยมีจุดเริ่มต้นที่ไม่เท่ากัน) เมื่อโอกาสไม่เท่าเทียมกันรัฐจึงต้องเข้ามาแทรกแซง โดยให้รัฐบาลเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้า เพื่อเอาภาษีจากคนรวยมาจัดสรรเป็นรายจ่ายด้านสวัสดิการสังคม (Welfare Spending) แบบมีการตั้งเป้าหมายไปที่คนจน เพื่อเพิ่มโอกาสให้คนจนมากขึ้น ได้แก่ ให้การศึกษา (ปัจจัยทุน) การพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน โอกาสในการทำงาน เช่น ระบบชลประทาน (เพิ่มโอกาสให้ชาวไร่ชาวนาสร้างรายได้ ประเทศไทยมีรายได้หลักจากการเกษตร แต่มีพื้นที่ในเขตชลประทานแค่ไม่ถึง ๑๐ เปอร์เซ็นต์) การปฏิรูปที่ดิน
• ทฤษฎีสินค้าสังคม (หรือทฤษฎีสินค้าสาธารณะ Social Goods Theory) มองการกระจายรายได้ในอีกลักษณะหนึ่ง มองกลไกตลาดไม่ดีเพราะจัดสรรสินค้าและบริการได้ยุติธรรม กลไกตลาดจัดสรรสินค้าและบริการโดยใช้การแลกเปลี่ยน ถ้าคนจนหิวจะตายต้องการกินก๋วยเตี๋ยวซักชามแต่ไม่มีเงินก็ไม่สามารถกินได้ สำหรับสินค้าทั่วไปการต้องแลกเปลี่ยนก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร แต่จะมีสินค้าอยู่กลุ่มหนึ่งที่เราต้องการให้คนในสังคมทั้งหมดได้รับประโยชน์จากมัน ไม่ว่าจะมีเงินหรือไม่มีเงินมาแลกเปลี่ยนก็ตาม เพราะจะทำให้สังคมโดยภาพรวมเจริญขึ้น เรียกว่า สินค้าสังคม ได้แก่ การศึกษาขั้นพื้นฐาน (ไม่มีเงินไม่ให้เรียนไม่ได้ รัฐจึงต้องเข้ามาแทรกแซงเพื่อให้คนมีโอกาสเข้ามาได้รับการศึกษาได้) การรักษาพยาบาล (คนไม่ว่าจะมีเงินหรือไม่มีเงิน เมื่อเจ็บป่วยก็ควรมีโอกาสได้รับการรักษาพยาบาลเช่นเดียวกัน คนมีสุขภาพพลานามัยดีก็เป็นกำลังผลิตให้กับสังคมได้มาก) เมื่อกลไกตลาดจัดสรรสินค้าและบริการบางอย่างได้อย่างไม่ยุติธรรม รัฐจึงต้องเข้ามาแทรกแซง โดยการจัดเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้า เพื่อนำเอาภาษีจากคนรวยมาจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผลิตสินค้าสังคม โดยเน้นแบบให้ถ้วนหน้า (Universal Coverage) เพราะสินค้าสังคม ไม่ว่าจะรวยหรือจนก็มีสิทธิ์เท่ากันหมด นโยบายเหล่านี้ เช่น เรียนฟรี รักษาพยาบาลฟรี ในระดับมาตรฐานของสินค้าสังคม
• ของไทยใช้ระบบเสรีนิยม ผสมกับการให้สวัสดิการและการจัดสรรสินค้าสังคมมากขึ้น แต่ปัญหาของไทยคือ เราไม่มีภาษีแบบก้าวหน้า เท่ากับว่าเราเอาเงินจากคนจนและคนชั้นกลาง มาช่วยเหลือทั้งคนจน คนชั้นกลาง และคนรวย แบบถ้วนหน้า ฐานภาษีหลักจึงเป็นฐานเงินเดือนค่าจ้างและภาษีทางอ้อมที่ถูกผลักภาระมาที่ผู้บริโภค ทำให้รายได้ของไทยที่จะนำมาจัดสรรสวัสดิการและสินค้าสังคมมีไม่พอ จึงต้องพยายามหาฐานภาษีใหม่ แต่ไม่ใช่ไปเก็บภาษีฐานทรัพย์สินมาก เพราะจะมีการต่อต้านสูง วิธีที่ดีกว่าคือ การพยายามปรับภาษีทางตรงให้เป็นอัตราก้าวหน้าอย่างแท้จริง โดยการยกเลิกการยกเว้นภาษีที่จัดเก็บจากคนรวย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น