ืnida

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

แนวข้อสอบระเบียบวิจัย

สรุปวิชา อ.สุจิตรา (ระเบียบวิธีวิจัย 1) การออกแบบการวิจัย 1.​ขอบข่ายการวิจัยและการตั้งปัญหาการวิจัย ​การวิจัย(research) : การค้นคว้าหรือการศึกษาหาคำตอบอย่างละเอียดรอบคอบ ต่อประเด็นคำถามที่กำหนดขึ้นไว้ก่อน ​- ต้องตั้งประเด็นคำถามหรือปัญหาก่อนจะมีการวิจัย ​- ถามในสิ่งที่น่าสนใจ ​หลักเกณฑ์ในการเลือกหัวข้อการวิจัย ​1) ความสำคัญของปัญหา: ไม่ง่ายเกินไป ควรเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจ ช่วยเสริมสร้างความรู้ให้เพิ่มมากขึ้น ​2) ความเป็นไปได้ : บางคำถามอาจเป็นนามธรรม แนวทางในการตอบอาจไม่ชัดแจ้ง บางคำถามยากแก่การตอบและรวบรวมข้อมูล ​3) ความน่าสนใจและการทันต่อเหตุการณ์ ​4) ความสนใจของผู้ที่จะวิจัย ​5) ความสามารถที่จะทำให้บรรลุผล ​หลักเกณฑ์ 6 ประการ ในการพิจารณาความเหมาะสม/ความสำคัญของปัญหา ​1) ความเด่นชัด (explicit) : ตั้งคำถามตรง ๆ ว่าต้องการศึกษาอะไร ไม่วกวน ​2) ความชัดเจน (clear) : ระบุปัญหาโดยใช้ภาษาที่ง่าย กะทัดรัด ระบุขอบเขตไว้เฉพาะอย่างตายตัว ​3) เป็นความคิดริเริ่ม (Original) : ควรเป็นปัญหาใหม่ ไม่วิจัยในสิ่งที่มีคำตอบอยู่แล้ว ​4) ทดสอบได้ (testable) : เป็นปัญหาที่สามารถตอบได้ ด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์ ​5) มีความสำคัญเชิงทฤษฎี(theoretically significant) : เป็นการเสริมสร้าง/พัฒนาองค์ความรู้ ​6) มีความสำคัญต่อสังคม (society relevant) : ช่วยแก้ไข/ให้คำตอบต่อสิ่งที่เป็นปัญหาในสังคมหนึ่ง ๆ ได้ 2.​การออกแบบวิจัย : การกำหนดรูปแบบของการศึกษาวิจัย เพื่อทดสอบว่าตัวแปร 2 ตัว มีความสัมพันธ์กันในเชิงเหตุผลแท้จริงหรือไม่ แบ่งเป็น 3 ประเภท ​2.1​การวิจัยแบบทดลอง (Experimental Design) : การเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม (กลุ่มแรก มีตัวแปรต้น กลุ่มที่ 2 ไม่มีตัวแปรต้น) เพื่อพิสูจน์ว่าตัวแปรต้นมีอิทธิพลต่อต่อแปรตามจริงหรือไม่ ​กระบวนการของการวิจัยแบบทดลอง ​1) กำหนดเป้าหมายประชากร ​2) สุ่มตัวอย่างตามโอกาสความน่าจะเป็นไปได้(probability sample) ​​3) แบ่งกลุ่มตัวอย่างเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลอง(มีตัวแปรต้น) กลุ่มควบคุม(ไม่ตัวแปรต้น) ​​4) อาจเก็บข้อมูลล่วงหน้า โดยวัดตัวแปรตามไว้ ​​5) ปฏิบัติการต่อกลุ่มทดลอง (treatment) ​​6) เก็บข้อมูล ​​7) เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของทั้ง 2 กลุ่ม ​​การวิจัยแบบทดลอง 4 รูปแบบ ​​1) แบบทดลองที่มีกลุ่มควบคุม โดยเก็บข้อมูลทั้งก่อนและหลังการดำเนินโครงการ (Pretest – Posttest Control Group Design) ​2) แบบทดลองที่มีกลุ่มควบคุม โดยเก็บข้อมูลหลังการดำเนินกิจกรรมโครงการ (Posttest – only Control Group Design) : ใช้เมื่อแบบแรกมีปัญหาเรื่องปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจากการเก็บข้อมูลขั้นต้นที่ส่งผลต่อแนวโน้มที่จะยอมรับ/ปฏิเสธ การปฏิบัติการ ​ ​​3) แบบทดลองแบบ 4 กลุ่ม ของโซโลมอน(Solomon Four – Group Design) : ผสมกันแบบ 1 กับ 2 ​ ​​4) Randomized Block : ใช้กรณีมีประชากรลักษณะแตกต่างกันมาก จึงต้องแบ่งประชากรออกเป็นกลุ่ม ๆ ตามชั้นภูมิ เป็นการรวมหน่วยประชากรที่มีลักษณะคล้ายกันไว้เป็นพวกเดียว(Block) แล้วค่อยทำการวิจัยแบบทดลอง เป็นการวิจัยซ้ำ โดยใช้กลุ่มประชากรที่ต่างกัน ​Block 1​ ​Block 2​ ​2.2​การวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi – Experimental Designs) : แตกต่างจากแบบทดลอง 2 ประการ คือ ​​- อาจไม่มีกลุ่มควบคุม แต่จะมีการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับตัวแปรตามเป็นระยะ ๆ หลังจากนั้นจะมีการใส่ตัวแปรต้นลงไป แล้วเก็บข้อมูลต่อ จากนั้นเปรียบเทียบผลก่อน และหลังใส่ตัวแปรต้น ​​- อาจมีกลุ่มควบคุมที่มีลักษณะพิเศษ คือ เป็นกลุ่มที่คัดเลือกมาให้คล้ายกับกลุ่มทดลอง แต่การ จัดกลุ่มด้วยวิธีคัดเลือก และไม่มีการสุ่มกระจาย อาจทำให้ลักษณะของกลุ่มควบคุมแตกต่างจากกลุ่มทดลองตั้งแต่ต้น เกิดปัญหาการตีความข้อมูล ​1) การออกแบบเชิงอนุกรม (Time Series Designs) : ไม่มีกลุ่มควบคุม มุ่งเก็บข้อมูลเป็นระยะ ๆ ทั้งก่อนและหลังดำเนินโครงการ O1 O2 O3 X O4 O5 O6 จะเห็นว่าคล้ายกับการศึกษากรณีตัวอย่างกรณีเดียวโดยจัดให้มีการวัดทั้งก่อนและหลังโครงการ แต่เพิ่มช่วงระยะเวลาการวัดและจำนวนครั้งที่วัดมากขึ้น เพื่อให้แน่ใจเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง ​จุดอ่อน - เหตุการณ์อื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงดำเนินการวิจัย อาจส่งผลกระทบต่อตัวแปรที่เราศึกษา อาจนำมาใช้เก็บข้อมูลเปรียบเทียบกับกลุ่มนอกเขตโครงการ ดังนี้ ​O1 O2 O3 X O4 O5 O6 (ในเขตโครงการ) ​O1 O2 O3 O4 O5 O6 (นอกเขตโครงการ) ​​2) การออกแบบโดยมีกลุ่มควบคุมไม่เหมือนกลุ่มทดลอง(Nonequivalent Control Group Design) : เป็นแบบกึ่งทดลองที่นิยมใช้ ได้แก่ การวิจัยที่มีกลุ่มควบคุมไม่เหมือนกลุ่มทดลอง แต่จะเลือกกลุ่มควบคุมให้มีลักษณะคล้ายคลึงกับกลุ่มทดลองเท่าที่จะเป็นไปได้ ​​- อย่างไรก็ตามกลุ่มควบคุมดังกล่าว จะถือว่าเป็นกลุ่มเปรียบเทียบ(Comparison group) มากกว่าเป็นกลุ่มควบคุม เพราะไม่ได้ใช้หลักการสุ่มตัวอย่างกระจาย ในการกำหนดว่าใครจะอยู่กลุ่มทดลอง/กลุ่มเปรียบเทียบ จึงขาดคุณสมบัติเชิงสถิติที่จะอ้างว่ากลุ่มทั้ง 2 เหมือนกัน ในทางปฏิบัติจะเลือกกลุ่มเปรียบเทียบให้คล้ายกลุ่มทดลองมากที่สุด ​​- วัตถุประสงค์หลักในการจัดกลุ่มเปรียบเทียบ คือ เพื่อให้ได้กลุ่มที่มีลักษณะเหมือนกลุ่มทดลอง โดยเฉพาะส่วนที่อาจเข้าไปสัมพันธ์กับตัวแปรตาม(เช่น อาชีพ ระดับการศึกษา อายุ) จะเกิดปัญหาว่า เราจะสามารถรู้ล่วงหน้าได้อย่างไรว่าตัวแปรใดเกี่ยวข้องกับตัวแปรตามบ้าง ​​3) การออกแบบทดลองก่อนและหลังโดยใช้กลุ่มตัวอย่างที่แตกต่างกัน (Separate-Sample Pretest – Posttest Designs) ใช้แก้ปัญหากรณีกลุ่มตัวอย่างมีปฏิกิริยาในการเก็บข้อมูลก่อนดำเนินกิจกรรมโครงการ ทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป ​​- ก่อนดำเนินโครงการ เก็บข้อมูลจากกลุ่มหนึ่ง ​- หลังดำเนินโครงการ เก็บข้อมูลจากอีกกลุ่มหนึ่ง ​- ถือว่ากลุ่มตัวอย่างที่ 2 ใช้แทนตัวอย่างแรกได้ ​จุดอ่อน กลุ่มเปรียบเทียบอาจมีลักษณะไม่เหมือนกลุ่มทดลอง ​2.3​การวิจัยแบบไม่ทดลอง (Non-experimental Designs) : การศึกษาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่เป็นจริง โดยไม่มีการบังคับค่าตัวแปรหนึ่ง ๆ เพื่อศึกษาผลกระทบของตัวแปรนั้นต่อตัวแปรตาม เป็นวิธีที่ใช้มากที่สุดในทางสังคมศาสตร์และ รปศ. ​​- เนื่องจากไม่มีมาตรการควบคุม/บังคับค่าของตัวแปร จึงต้องเก็บข้อมูลเกี่ยวกับตัวแปรอื่นนอกจากตัวแปรต้นและตัวแปรตาม เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์ ควบคุมเชิงสถิติ และเพื่อให้แน่ใจว่าตัวแปรที่เราคาดว่าเป็นเหตุเป็นผลกันนั้น มีความสัมพันธ์กันแท้จริงหรือไม่ ตัวแปรอื่น ๆ นี้ เรียกว่า “ตัวแปรทดสอบ” ​1) การวิจัยตัดขวาง (Cross – Sectional Studies) : จะวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ โดยออกไปเก็บข้อมูลในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ครั้งเดียว ตัวแปรจึงต้องมีการผันแปรมากที่สุด เพื่อจะสามารถทดสอบความมากน้อยของความสัมพันธ์ในเชิงสถิติต่อไป เช่น จะศึกษา/วัดว่าระดับการศึกษามีผลต่อการไปลงคะแนนอย่างไร ก็ต้องหากลุ่มตัวอย่างที่มีระดับการศึกษาต่างกัน เพื่อให้ระดับการศึกษาเป็นตัวแปรที่มีการผันแปร ​ต้องเก็บข้อมูลตัวแปรอื่น ๆ ที่อาจเกี่ยวข้องมาเป็นตัวแปรทดสอบ/ตัวแปรควบคุม ในการวิเคราะห์เชิงสถิติ เช่น ภูมิลำเนาเป็นตัวแปรสาเหตุที่แท้จริง คือ ประชาชนในเขตเมืองมีระดับการศึกษาสูงกว่าประชาชนในชนบท และใช้เสียงมากกว่า จึงมีรูปแบบดังนี้ มาเป็น ​2) การวิจัยแบบระยะยาว (Longitudinal Design) : เป็นการเก็บข้อมูลมากกว่า 1 ครั้ง ด้วยวิธีเดิม เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงในตัวแปรต่าง ๆ ว่าเปลี่ยนแปลงหรือไม่ตามกาลเวลา โดยการวิเคราะห์ข้อมูลทำได้ 2 ลักษณะ ​​- วิเคราะห์เหมือนวิจัยแบบตัดขวาง โดยนำผลแต่ละครั้งมาเปรียบเทียบกัน ​- วัดความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แล้วนำข้อมูลการเปลี่ยนแปลงมาวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตัวแปรต่าง ๆ ​​ประเภทการวิจัยระยะยาว ประเภทการวิจัยระยะยาว การเก็บข้อมูลครั้งที่ 1 การเก็บข้อมูลครั้งที่ 2 การเก็บข้อมูลครั้งที่ 3 การเก็บข้อมูลครั้งที่ 4 ใช้กลุ่ม ต.ย.กลุ่มเดียวกันหลายครั้ง(Panel Studies) GA GA GA GA ใช้กลุ่ม ต.ย.ที่เปลี่ยนไปในแต่ละครั้ง (Successive Samples) GA GB GC GD แบบผสม GA GA GB GA GC GA GD ​2.4​แบบวิจัยแบบเตรียมทดลอง (Pre – Experimental Design) ​1) แบบกลุ่มเดียวทดสอบครั้งเดียว (One – Shot Case Study) [ X Oy ] : ศึกษาตัวแปรตามหลังจากดำเนินการกับกลุ่มตัวอย่างแล้ว ​มีปัญหามากที่สุด ข้อสรุปไม่ชัดแจ้งแน่นอน เพราะไม่ได้วัดตัวแปรก่อนดำเนินกิจกรรม มาเปรียบเทียบการสรุปต่าง ๆ อาจขาดน้ำหนัก พิสูจน์ทราบความสัมพันธ์ไม่ได้อย่างเป็นระบบ ​2) แบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและทดสอบหลัง [ O1 X O2 ] : วัดตัวแปรตามทั้งก่อนและหลังดำเนินโครงการเพื่อเปรียบเทียบกัน (ขาดการเปรียบเทียบกับกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ได้เข้าไปอยู่ในโครงการ) ​3) แบบมีกลุ่มเปรียบเทียบ (Static Group Comparison) ​หากกลุ่มทั้ง 2 แตกต่างกันตั้งแต่ต้น ไม่สามารถกล่าวได้ว่าความแตกต่างเป็นผลมาจากการดำเนินโครงการ 3.​อคติที่อาจทำให้การวิจัยขาดความแม่นตรง อคติ (Bias) คือ การได้มาซึ่งข้อสรุปที่ลำเอียงไปในทิศทางใดทางหนึ่ง ​3.1​ปัจจัยที่อาจทำให้เกิดอคติต่อความถูกต้องภายใน (Internal validity) 8 ประเภท ​1) เหตุการณ์อื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเดียวกับการศึกษาวิจัย อาจส่งผลกระทบต่อตัวแปร ​2) การเติบโต (Maturation) : การเปลี่ยนแปลงของประชากรที่ศึกษาที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ตามกาลเวลา ​3) ปฏิกิริยาที่เกิดจากการทดสอบ(Testing) ความเคยชินหรือความคุ้นเคยที่เกิดจากการได้รับการทดสอบซ้ำ ๆ ซาก ๆ ส่งผลต่อการวัดครั้งต่อ ๆ ไป ​4) การเสื่อมสภาพของเครื่องวัด (Instrument Decay) : ทำให้การวัดผิดพลาดคลาดเคลื่อน ​5) การถดถอยทางสถิติ (Statistical Regression) : ในการเก็บข้อมูล/สังเกตการณ์ครั้งหนึ่ง ๆ อาจได้ตัวอย่างที่ไม่เป็นตัวแทนประชากรทั่วไป ค่าที่วัดได้อาจสูงหรือต่ำกว่าความจริง ​6) วิธีการเลือกตัวอย่าง (Selection) : อคติที่อาจเกิดขึ้นได้หากเปรียบเทียบกลุ่ม 2 กลุ่ม ที่ไม่ได้ จัดกลุ่มโดยใช้การสุ่มตัวอย่างกระจาย อาจมีคุณสมบัติที่ไม่เหมือนกันตั้งแต่ต้น ​7) การสูญเสียประชากร (Experimental Mortality) : ตัวอย่างที่สุ่มมาบางราย อาจสูญไปในระหว่างดำเนินโครงการ ​8) ความเติบโตในอัตราที่ต่างกันในกลุ่มตัวอย่างที่คัดเลือก (Selection Maturation Interaction) : กลุ่มตัวอย่างที่คัดเลือกเพื่อทำการเปรียบเทียบ มีการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติในอัตราที่แตกต่างกัน ​3.2​ปัจจัยที่อาจทำให้เกิดอคติต่อความถูกต้องภายนอก (External Validity) ​1) ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจากการทดลองขั้นต้น ส่งผลต่อการทดสอบขั้นต่อไป(Interaction Between testy and Treatment) ​2) วิธีการคัดเลือกตัวอย่าง (Selection) : อาจส่งผลต่อความถูกต้องทั้ง ภายและภายนอก กล่าวคือ กลุ่มตัวอย่างที่สุ่มมามิได้เป็นตัวแทนของประชาชนทั่วไป ​3) ปฏิกิริยาที่เกิดจากกลุ่มทดสอบทราบว่าตนกำลังเป็นเป้าความสนใจ (Reactive Effects of Experimental Arrangements) : นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมบางอย่างอันเนื่องมาจากการได้รับความเอาใจใส่เป็นพิเศษ แต่ไม่ได้เป็นผลจากโครงการ ปฏิกิริยานี้เรียกว่า “ผลแบบฮอร์ทอร์น” (Hawthorne effects) ​​4) ผลกระทบที่เป็นผลรวมของสาเหตุอื่น ๆ (Confounded Treatment Effects) : ผลกระทบที่เกิดจากหลายสาเหตุ จนไม่รู้ว่าเกิดจากสาเหตุใด 4.​ข้อคิดในการเลือกแบบวิจัย ​- พิจารณาตามความเหมาะสมและเป็นไปได้ในระยะเวลา งบประมาณ ความสมเหตุสมผลในแง่ การบริหารโครงการ ​- ในทางปฏิบัติจริง สถานการณ์มักเป็นตัวกำหนดแบบวิจัย : สถานการณ์หนึ่งเหมาะสมกับการทำวิจัยรูปแบบหนึ่ง การสุ่มตัวอย่าง 1.​ประชากรและหน่วยการวิเคราะห์ ​ประชากร (Population) : กลุ่มหรือทั้งหมดของสิ่งที่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น