ืnida

วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

สรุประเบียบวิจัย รศ.6020

การวิจัยเชิงปริมาณ โลกทัศน์และกระบวน ทศั น์ ประจักษ์วาท (Positivism) ตรรกะ นิรนัย (deductive) การออกแบบการวิจัย -เน้นการวิจัยเชิงตัดขวาง (Cross-Sectional design) -ไม่ให้ความสาํคัญกบัมิติทางประวัติศาสตร์ -ใช้การวิจัยแบบทดลองแท้จริง -ใช้การวิจัยแบบก่งึทดลอง -ใช้การวิจัยแบบไม่ทดลอง ลักษณะข้อมูล แจงนับได้ ข้อมูลสถิติต่าง ๆ ลักษณะโครงการ ทาํในลักษณะโครงการขนาดใหญ่ได้ วัตถุประสงค์ เน้นการหาความถูกต้องของส่ิงท่ีปรากฎอยู่เป็น รปู ธรรม ไม่เน้นส่งิ ท่เี ป็นนามธรรม ความร้สู กึ นึกคิด วิธกีารเกบ็ข้อมูล ให้ความสําคัญกับการเก็บข้อมูลด้วยการใช้ แบบสอบถามเป็นท้ังวิทยาศาสตร์บริสุทธ์ิและศิลป์ รัฐประศาสนศาสตร์ จะมีความเป็น วิชาชีพหรือไม่ โดยธรรมชาติของรัฐประศาสนศาสตร์ เป็นวิชาชีพ แต่มีความ แตกต่างจากวิชาชีพแขนงอ่ืน ๆ ตรงท่แี ม้นไม่ผ่านการศึกษาวิชาการบริหาร ไม่มีการจัดต้ังสถาบันและจรรยาบรรณท่บี ังคับใช้โดยตรง แต่ผู้บริหารท่จี ะ ประสบความสาํ เร็จ ต้องเป็นผู้มีฝีมือ ความรู้ความสามารถ ทักษะในการ ทาํ งาน มีความเช่ียวชาญ มีประสบการณ์ มีคุณธรรมจริยธรรม จิตสาํ นึกท่จี ะ ทาํ งาน เพ่ือประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน จึงจัดได้ว่า รัฐ ประศาสนศาสตร์ มีความเป็นก่งึ วิชาชีพ (Quasi Professional) (พิทยา บวร วัฒนา, 2527 : 70) ในฐานะความเป็นศาสตร์ประยุกต์และก่งึ วิชาชีพ รัฐประศาสนศาสตร์ มี ความจาํ เป็นต้องแสวงหาและสะสมองค์ความรู้ เพ่ือนาํ มาพัฒนา และส่งั สม ถ่ายทอดความรู้อย่างเป็นระบบ ซ่ึงหมายถึงว่า ต้องมีการค้นคว้าความรู้ ความจริง ด้วยวิธีการท่มี ีระบบ มีเหตุมีผลเช่ือถือได้ ซ่ึงการดาํ เนินกิจกรรม ตามแนวทางดังกล่าว เรียกว่า การวิจัย (Research) รัฐประศาสนศาสตร์เอง มีกําเนิดมาจาก ผลงานวิจัยของเทศบาลนครนิวยอร์ค ท่ีได้พบอุปสรรค สาํคัญของการบริหารงานสาธารณะการงบประมาณและการบริหารภาครัฐ อ่ืน ๆ สํานักวิจัยของเทศบาลนิวยอร์ค จึงได้ขอความร่วมมือไปทาง มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย(Columbia University)ทาํการจัดต้ังMaster of Public Administration Program เพ่ือให้การศึกษา การบริหารงานภาครัฐ และต่อมา Maxwell School of citizenship and public affairs at Syracuse University ได้ มีการพัฒนาหลักสูตร MPA ตามมาในเวลาท่ีใกล้เคียง (RaymondWCoxIII,1997:7อ้างถึงโดยบุญทนั ดอกไทสง2553: 2) การแสวงหาความรู้ เพ่ือให้ข้อเท็จจริงเก่ียวกับปรากฎการณ์ทางรัฐ ประศาสนศาสตร์ มีแบบแผนทางวิทยาศาสตร์ จึงต้องอ้างอิงระเบียบวิธีวิจัย ทางสงัคมเข้ามาประยุกต์ใช้ การวิจัยทางรัฐประศาสนศาสตร์ สามารถแบ่งตามวัตถุประสงค์ ได้ดังน้ี 1) การวิจัยพ้ืนฐาน (Basic Research) 2) การวิจัยประยุกต์ (Applied Research) นอกจากแบ่งตามลักษณะของการวิจัย ได้แก่ 1) การวิจัยเชิงพรรณา (Descriptive Research) 2) การวิจัยเชิงอธบิ าย (Explainary Research) และถ้าแบ่งตามการจัดเกบ็ ข้อมูลจะสามารถแบ่งประเภทของการวิจัย ได้เป็น 1) การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และ 2) การวิจัยเชิงคุณภาพ(QualitativeResearch) รัฐประศาสนศาสตร์จัดเป็นศาสตร์ประยุกต์ทางสังคม จึงสามารถใช้ ระเบียบวิธีวิจัย ทางสงั คมศาสตร์มาดําเนินการแสวงหาความร้คู วามจริงได้ การวิจัยทางสงั คมศาสตร์ มีธรรมชาติของการวิจัย ดังน้ ี ธรรมชาติของการวิจัย (Nature of Research) ซ่ึงนิด้า ชูโต (2540:1) ได้กล่าวถึงธรรมชาติของการวิจัยว่า มีลักษณะใหญ่ ๆ 4 ประการ คือ (1)มีหลักฐานยืนยัน (evidence) ซ่ึงสามารถยอมรับได้ โดยอาจเป็น หลักฐานเชิงทฤษฎีหรือหลักฐานเชิงประจักษ์ (empirical) อาทิ คะแนนท่ไี ด้ จากการสมั ภาษณ์ แบบสงั เกตแบบสอบถาม ซ่งึ สามารถยืนยันตรวจสอบได้ (2)มีความตรง (Validity) ประกอบด้วยความตรงภายใน (Internal Validity) คือ ความตรงของผลสรุปและการตีความหมายของข้อมูล กระบวนการท่ถี ูกต้อง และความตรงภายนอก (external validity) เป็นความ ตรงจาการอ้างองิ ผลการวิจัย ไปส่ปู ระชากรเป้ าหมาย (3)มีความเช่ือถือได้ (reliability) หมายถึง การวิจัยน้ันต้องสามารถตรวจ ซํ้าได้ (replicable) โดยนักวิจัยคนอ่ืน ๆ ในทุกข้ันตอน ภายใต้สภาพ เดียวกนั หรือคล้ายคลึงกนั ผลการวิจัยควรให้ผลตรงกนัหรือใกล้เคียงกนั (4) มีกระบวนการท่ีเป็นระบบ (systematic) โดยมีลําดับข้ันตอนของ กิจกรรมสืบเน่ืองเช่ือมโยงกันเร่ิมจากปัญหา การตรวจสอบข้อความรู้ การ เกบ็ข้อมูลการวิเคราะห์ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ กระบวนทัศนของการวิจัย (Research paradigm) ซ่ึงเป็ นแนวทางท่ี นักวิชาการใช้เป็นแนวทางความคิด กาํ หนดวิธีการท่ใี ช้ในการแก้ปัญหา และ วิธกี ารท่ใี ช้ในการวิจัย (นิด้า ชูโต, 2545; Merriam, 1998 : 4-5) (1)กระบวนทศั นคติการวิจัยเชิงปฏิบัติฐานนิยม(Positivism)เป็นแนวคิด จากการแสวงหาความจริงทางวิทยาศาสตร์กายภาพ เน้นการแสวงหาความ จริงเชิงสาเหตุ (Perusal Effect) ด้วยการวิเคราะห์ จากหลักฐานเชิงประจักษ์ เป็นการเกบ็ข้อมูลการสงัเกตหรือการทดลองการใช้ตัวแบบทางคณิตศาสตร์ เป็นเคร่ืองมือในการวิเคราะห์ โดยมีเป้ าหมาย เพ่ือสร้างความสัมพันธ์เชิง สาเหตุ 1.การเลือกสนาม - การเตรียมตัวเข้าสนาม, อุปกรณ์วิจัย, การแต่งกาย, อาหารการกิน ที่พัก ฯลฯ) 2.การวางแผนการเก็บข้อมูล (การเลือกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (key informants) สังเกต ฯลฯ) 3. การแนะนำตัวต่อชุมชน หรือหน่วยงาน/องค์กร 4.การสร้างความสัมพันธ์ผู้คนที่อยู่ในสนามหรือปรากฏการณ์ ฯลฯ งานวิจัยเชิงคุณภาพกับทฤษฎีและกรอบแนวคิด งานวิจัยเชิงคุณภาพไม่จำเป็นต้องมีทฤษฎีจริงหรือ? -ต้องสำรวจกรอบแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างกว้างขวางเพื่อนำมาช่วยในการตั้งคำถาม -ต้องใช้ทฤษฎีเป็นแผนที่ในการศึกษา โดยสร้างสมมติฐานชั่วคราว -ตรวจสอบข้อมูลกับกรอบแนวคิดกลับไปกลับมาระหว่างการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล เทคนิคการวิจัยเชิงคุณภาพ การสังเกต -ความหมายและความสำคัญของการสังเกต -ประเภทของการสังเกต (การสังเกตแบบมีส่วนร่วม แบบไม่มีส่วนร่วม) -ปัญหาของการสังเกต -ข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบของการสังเกต -ตัวอย่างงานศึกษาด้วยการสังเกต การสังเกต (observation) • การสังเกต คือ “การเฝ้าดูอย่างเอาใจใส่ สังเกตสิ่งที่กำหนดไว้ และพิจารณาอย่างมีระเบียบ และเป็นการเฝ้าดูแลสิ่งที่ปรากฏขึ้น เพื่อหาความสัมพันธ์ของสิ่งที่เกิดขึ้น หรือหาว่าสิ่งใดเป็นเหตุ เป็นผลของปรากฏการณ์ดังกล่าว” ประเภทของการสังเกต 1.การสังเกตแบบมีส่วนร่วม คือ การนำตัวนักวิจัยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของปรากการณ์ (เช่น การเข้าไปอยู่ในชุมชนที่เราศึกษา เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการเคลื่อนไหว ฯลฯ) 2.การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม คือ นักวิจัยไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ (เช่น แพทย์สังเกตอาการคนไข้จากยาที่ทดลอง ฯลฯ) สิ่งที่ต้องทำในใช้วิธีการสังเกต • การสำรวจกรอบแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมากำหนดเป็นสมมติฐานชั่วคราว • การจดบันทึกข้อมูลภาคสนามอย่างละเอียด • การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสังเกต • การเก็บข้อมูลด้วยการสังเกตเพิ่มเติม หรือตรวจสอบข้อมูลด้วยวิธีการอื่น ข้อได้เปรียบของการใช้วิธีการสังเกต 1.ได้ข้อมูลที่ผู้ถูกศึกษาไม่ได้บอกให้ฟัง 2.ได้ข้อมูลที่ผู้ถูกศึกษาไม่อยากเล่าให้ฟัง 3.ได้หลักฐานเพิ่มเติมจากการเก็บข้อมูลด้วยวิธีการอื่น เช่น การสัมภาษณ์ 4.ได้ข้อมูลทันทีโดยไม่ต้องผ่านการบอกเล่า ข้อเสียเปรียบหรือควรระวัง 1.ไม่สามารถใช้ได้กับปรากฏการณ์ทางสังคมที่ไม่เกิดขึ้นในระยะเวลาที่ศึกษา (เช่น การปฏิวัติ การเลือกตั้ง พิธีบรมราชาภิเษก ฯลฯ) 2.ไม่สามารถศึกษาข้อมูลที่เป็นเรื่องต้องห้าม เช่น เรื่องส่วนตัว พิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ) 3.ไม่สามารถได้ข้อมูลครบถ้วนทุกแง่มุม เพราะผู้สังเกตไม่สามารถอยู่ในทุกแง่มุมของเหตุการณ์ได้ การสัมภาษณ์ ประเภทของการสัมภาษณ์ 1.การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (สำหรับการวิจัยเชิงปริมาณ) 2.การสัมภาษณ์สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ : การสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ • การสัมภาษณ์แบบเปิดกว้างไม่จำกัดคำตอบ • การสัมภาษณ์แบบมีจุดความสนใจเฉพาะ หรือการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก ผู้ให้สัมภาษณ์ (Interviewee) • ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informant) คือใคร -เป็นผู้ที่มีความรู้ หรือมีประสบการณ์ในเรื่องที่ศึกษา “รู้เรื่องรู้ราว” -มีความเต็มใจที่จะพูดคุยด้วย -ต้องมีความหลากหลายของผู้ให้ข้อมูลสำคัญ -เลือกอย่างเจาะจงโดยคำนึงถึงจุดมุ่งหมายของการวิจัย ขั้นตอนของการสัมภาษณ์ • การเตรียมสัมภาษณ์ -การวางแผนสัมภาษณ์คำถาม ข้อมูลพื้นฐานของผู้ถูกสัมภาษณ์ อุปกรณ์จดบันทึก การนัดหมาย ฯลฯ) • ขั้นตอนการสัมภาษณ์ -แนะนำตัว การสร้างบรรยากาศเป็นกันเอง การบอกวัตถุประสงค์ ตรงไปตรงมากับผู้ให้สัมภาษณ์ เช่น ถ้าอัดเทปต้องบอกล่วงหน้า ฯลฯ สิ่งที่ควรคำนึงในการสัมภาษณ์ • ถามคำถามแบบเปิดกว้างเสมือนหนึ่งผู้วิจัยไม่มีความรู้ในเรื่องที่สัมภาษณ์ • ทำการบ้านก่อนที่จะสัมภาษณ์ /เตรียมความพื้นฐานเกี่ยวกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ • การเตรียมแนวคำถามเอาไว้เพื่อเป็นแผนที่ในการซักถาม -แนวคำถามเหมือนแผนที่ในการขับรถ เพื่อไปถึงจุดหมาย เทคนิคการสัมภาษณ์ -การแนะนำตัว -การเลือกสถานที่สัมภาษณ์ -การบันทึกคำตอบ -ภาษาที่ใช้ในการสัมภาษณ์ มนุษยสัมพันธ์ -จรรยาบรรณในการสัมภาษณ์ -แบบสอบถามและการตั้งคำถาม ข้อดีข้อเสียของการสัมภาษณ์ ข้อดี 1. สามารถใช้กับคนทุกระดับการศึกษา 2.ช่วยแก้ปัญหาในการได้รับแบบสอบถามคืนน้อย 3.สามารถเข้าใจถึงความรู้สึกนึกคิด ของผู้ให้สัมภาษณ์ได้ระดับหนึ่งฯลฯ ปัญหาในการสัมภาษณ์ 1.เปลืองค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก 2.ความน่าเชื่อถือของข้อมูลจะขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้สัมภาษณ์ และความเต็มใจของผู้ถูกสัมภาษณ์ (เช่น กรณีการวิจัยเรื่องการขายบริการ การซื้อเสียงเลือกตั้ง การทุจริตคอรัปชัน ฯลฯ) กลุ่มเสวนา(Focus Group) Focus Group Check List -Topic -Discussion Guide -Personnel: Moderator/Note Taking/Manager -Site of Group Discussion -Tape Recorder -Discussion Aids (Snacks) -Participants -Gifts Before the Session • Theory & Literatures • Discussion Guide • Pretest the Discussion Guide and Moderator Orientation • Contacting Community & Appointment After the Session • Tape & Note transcripts • Transcripts Reading & Data Analysis • Changing Participants & Site • Individual Interview for More Information • Report Writing แหล่งข้อมูลเอกสาร • มีเอกสารอะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง สำคัญงานวิจัยที่ทำ -เอกสารชั้นต้น (แผนงาน/โครงการ รายงานผลการดำเนินงาน รายงานการประเมินผล ฯลฯ) -ข้อมูลตัวเลข สถิติที่เกี่ยวข้อง -งานวิจัย บทความ บทสัมภาษณ์ ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องฯลฯ • ตัวอย่างการวิจัยโดยใช้แห่งเอกสาร การตรวจสอบและการวิเคราะห์ข้อมูล การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของวิจัยเชิงคุณภาพ ความแตกต่างกับงานวิจัยเชิงปริมาณ • งานวิจัยเชิงปริมาณใช้สถิติตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล -การสุ่มตัวอย่างเพื่ออนุมานไปสู่ข้อสรุปของประชากร -การตรวจสอบความน่าเชื่อถือด้วยการสร้างเครื่องมือการวิจัย เช่น การวัดความตรง ความเที่ยง ฯลฯ ความน่าเชื่อถือของงานวิจัยเชิงคุณภาพ 1. การระบุวิธีการศึกษาอย่างละเอียดเพื่อให้เห็นถึง: -ที่มาของแหล่งข้อมูล/วิธีการเก็บข้อมูลที่หลากหลาย รอบด้าน -การอยู่ในสนามที่มีเวลายาวนานมากพอที่จะสะท้อนความเป็น “คนใน” • ดูตัวอย่าง งานวิจัยเรื่อง “นางงามตู้กระจก” “ชีวิตและจุดจบสลัมแห่งหนึ่ง” “การเมืองบนท้องถนนฯ” ฯลฯ 2. การพรรณนานาข้อมูลอย่างละละเอียด ทุกแง่ทุกมุมของปรากฏการณ์ที่ศึกษา -เพื่อทำให้ผู้อ่านเห็นถึงหลักฐาน ข้อมูล ที่ใช้ในการสร้างข้อสรุปที่มีเหตุผลสนับสนุนที่เพียงพอ 3. การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล : การตรวจสอบข้อมูลสามเส้า (data triangulation) • การตรวจสอบด้านเวลา สถานที่ และบุคคลผู้ให้ข้อมูลที่แตกต่างกัน • การตรวจสอบสามเส้าด้านผู้วิจัย (ตรวจสอบโดยการเปลี่ยนตัวผู้เก็บข้อมูล) • การตรวจสอบสามเส้าด้านวิธีการรวบรวมข้อมูล (methodological triangulation) (สัมภาษณ์ สังเกต เอกสาร ฯลฯ) การวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูล • วัตถุประสงคือ การตอบโจทย์ คำถามวิจัย (วัตถุประสงค์ของการวิจัย) • ควรกำหนดเค้าโครงการวิเคราะห์ข้อมูล ตามวัตถุประสงค์ วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล 1.วางเค้าโครงการวิเคราะห์โดยกำหนดตามประเด็นย่อยๆ ในวัตถุประสงค์ 2. การพรรณนาข้อมูลอย่างละเอียด โดยอาศัยหลักฐานจากการสัมภาษณ์ การสังเกต เอกสาร ฯลฯ 3.การสร้างข้อสรุปจากการพรรณนาข้อมูลโดยอาศัยการวิเคราะห์เชื่อมโยงตรรกะ เหตุผล และการอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่ได้จากการศึกษา รวมทั้งอาศัยกรอบแนวคิดทฤษฎี/งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิเคราะห์และการนำเสนอข้อมูล(บทที่ 4) · วัตถุประสงค์ของการนำเสนอคือ การตอบคำถามวิจัย /วัตถุประสงค์ของงานวิจัย · เค้าโครงการนำเสนอข้อมูล : ควรกำหนดตามประเด็นในวัตถุประสงค์ วิธีการนำเสนอ · การพรรณนาข้อมูลอย่างละเอียดในประเด็นที่วิเคราะห์ ระบุแหล่งที่มาข้อมูล/การอ้างอิงแหล่งข้อมูล บุคคลที่ให้ข้อมูลที่หลากหลาย ฯลฯ · การสร้างข้อสรุปจากข้อมูล หลักฐานที่ได้จากการพรรณนาเพื่อตอบโจทย์/คำถามวิจัย · (ดูตัวอย่างงานวิจัยต่างๆ) บทที่ 5 บทสรุปและข้อเสนอแนะ · ทบทวนโจทย์คำถามวิจัย · สรุปข้อค้นพบตามวัตถุประสงค์เป็นข้อๆ หรือประเด็นๆ · การอภิปรายผล · ข้อเสนอแนะ การอภิปรายผล · การวิเคราะห์ อธิบายข้อค้นพบเพื่อหาสาเหตุ ที่มาของปรากฏการณ์ที่ค้นพบ · การถกเถียงข้อค้นพบกับงานวิจัยชิ้นอื่นๆ ที่ทำมาก่อนว่า มีข้อค้นพบที่เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร · การถกเถียงในเชิงกรอบแนวคิด ทฤษฎี ข้อเสนอแนะ · ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติการ · ข้อเสนอแนะสำหรับงานวิจัยครั้งต่อไป-การวางแผนการเก็บข้อมูล -การวิเคราะห์ข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ฯลฯ เทคนิคการวิจัยเชิงคุณภาพ • ก่อนการเก็บข้อมูล – การเตรียมตัวทำงานภาคสนาม – ทฤษฎี กรอบแนวคิดกับงานวิจัยเชิงคุณภาพ วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ – การสังเกต – การสัมภาษณ์ – การเก็บข้อมูลด้วยวิธีการจัดกลุ่มเสวนา – การใช้แหล่งข้อมูลเอกสาร การเตรียมตัวทำงานภาคสนาม 1.การเลือกสนาม - การเตรียมตัวเข้าสนาม, อุปกรณ์วิจัย, การแต่งกาย, อาหารการกิน ที่พัก ฯลฯ) 2.การวางแผนการเก็บข้อมูล (การเลือกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (key informants) สังเกต ฯลฯ) 3. การแนะนำตัวต่อชุมชน หรือหน่วยงาน/องค์กร 4.การสร้างความสัมพันธ์ผู้คนที่อยู่ในสนามหรือปรากฏการณ์ ฯลฯ งานวิจัยเชิงคุณภาพกับทฤษฎีและกรอบแนวคิด งานวิจัยเชิงคุณภาพไม่จำเป็นต้องมีทฤษฎีจริงหรือ? -ต้องสำรวจกรอบแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างกว้างขวางเพื่อนำมาช่วยในการตั้งคำถาม -ต้องใช้ทฤษฎีเป็นแผนที่ในการศึกษา โดยสร้างสมมติฐานชั่วคราว -ตรวจสอบข้อมูลกับกรอบแนวคิดกลับไปกลับมาระหว่างการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล เทคนิคการวิจัยเชิงคุณภาพ การสังเกต -ความหมายและความสำคัญของการสังเกต -ประเภทของการสังเกต (การสังเกตแบบมีส่วนร่วม แบบไม่มีส่วนร่วม) -ปัญหาของการสังเกต -ข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบของการสังเกต -ตัวอย่างงานศึกษาด้วยการสังเกต การสังเกต (observation) • การสังเกต คือ “การเฝ้าดูอย่างเอาใจใส่ สังเกตสิ่งที่กำหนดไว้ และพิจารณาอย่างมีระเบียบ และเป็นการเฝ้าดูแลสิ่งที่ปรากฏขึ้น เพื่อหาความสัมพันธ์ของสิ่งที่เกิดขึ้น หรือหาว่าสิ่งใดเป็นเหตุ เป็นผลของปรากฏการณ์ดังกล่าว” ประเภทของการสังเกต 1.การสังเกตแบบมีส่วนร่วม คือ การนำตัวนักวิจัยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของปรากการณ์ (เช่น การเข้าไปอยู่ในชุมชนที่เราศึกษา เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการเคลื่อนไหว ฯลฯ) 2.การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม คือ นักวิจัยไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ (เช่น แพทย์สังเกตอาการคนไข้จากยาที่ทดลอง ฯลฯ) สิ่งที่ต้องทำในใช้วิธีการสังเกต • การสำรวจกรอบแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมากำหนดเป็นสมมติฐานชั่วคราว • การจดบันทึกข้อมูลภาคสนามอย่างละเอียด • การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสังเกต • การเก็บข้อมูลด้วยการสังเกตเพิ่มเติม หรือตรวจสอบข้อมูลด้วยวิธีการอื่น ข้อได้เปรียบของการใช้วิธีการสังเกต 1.ได้ข้อมูลที่ผู้ถูกศึกษาไม่ได้บอกให้ฟัง 2.ได้ข้อมูลที่ผู้ถูกศึกษาไม่อยากเล่าให้ฟัง 3.ได้หลักฐานเพิ่มเติมจากการเก็บข้อมูลด้วยวิธีการอื่น เช่น การสัมภาษณ์ 4.ได้ข้อมูลทันทีโดยไม่ต้องผ่านการบอกเล่า ข้อเสียเปรียบหรือควรระวัง 1.ไม่สามารถใช้ได้กับปรากฏการณ์ทางสังคมที่ไม่เกิดขึ้นในระยะเวลาที่ศึกษา (เช่น การปฏิวัติ การเลือกตั้ง พิธีบรมราชาภิเษก ฯลฯ) 2.ไม่สามารถศึกษาข้อมูลที่เป็นเรื่องต้องห้าม เช่น เรื่องส่วนตัว พิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ) 3.ไม่สามารถได้ข้อมูลครบถ้วนทุกแง่มุม เพราะผู้สังเกตไม่สามารถอยู่ในทุกแง่มุมของเหตุการณ์ได้ การสัมภาษณ์ ประเภทของการสัมภาษณ์ 1.การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (สำหรับการวิจัยเชิงปริมาณ) 2.การสัมภาษณ์สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ : การสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ • การสัมภาษณ์แบบเปิดกว้างไม่จำกัดคำตอบ • การสัมภาษณ์แบบมีจุดความสนใจเฉพาะ หรือการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก ผู้ให้สัมภาษณ์ (Interviewee) • ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informant) คือใคร -เป็นผู้ที่มีความรู้ หรือมีประสบการณ์ในเรื่องที่ศึกษา “รู้เรื่องรู้ราว” -มีความเต็มใจที่จะพูดคุยด้วย -ต้องมีความหลากหลายของผู้ให้ข้อมูลสำคัญ -เลือกอย่างเจาะจงโดยคำนึงถึงจุดมุ่งหมายของการวิจัย ขั้นตอนของการสัมภาษณ์ • การเตรียมสัมภาษณ์ -การวางแผนสัมภาษณ์คำถาม ข้อมูลพื้นฐานของผู้ถูกสัมภาษณ์ อุปกรณ์จดบันทึก การนัดหมาย ฯลฯ) • ขั้นตอนการสัมภาษณ์ -แนะนำตัว การสร้างบรรยากาศเป็นกันเอง การบอกวัตถุประสงค์ ตรงไปตรงมากับผู้ให้สัมภาษณ์ เช่น ถ้าอัดเทปต้องบอกล่วงหน้า ฯลฯ สิ่งที่ควรคำนึงในการสัมภาษณ์ • ถามคำถามแบบเปิดกว้างเสมือนหนึ่งผู้วิจัยไม่มีความรู้ในเรื่องที่สัมภาษณ์ • ทำการบ้านก่อนที่จะสัมภาษณ์ /เตรียมความพื้นฐานเกี่ยวกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ • การเตรียมแนวคำถามเอาไว้เพื่อเป็นแผนที่ในการซักถาม -แนวคำถามเหมือนแผนที่ในการขับรถ เพื่อไปถึงจุดหมาย เทคนิคการสัมภาษณ์ -การแนะนำตัว -การเลือกสถานที่สัมภาษณ์ -การบันทึกคำตอบ -ภาษาที่ใช้ในการสัมภาษณ์ มนุษยสัมพันธ์ -จรรยาบรรณในการสัมภาษณ์ -แบบสอบถามและการตั้งคำถาม ข้อดีข้อเสียของการสัมภาษณ์ ข้อดี 1. สามารถใช้กับคนทุกระดับการศึกษา 2.ช่วยแก้ปัญหาในการได้รับแบบสอบถามคืนน้อย 3.สามารถเข้าใจถึงความรู้สึกนึกคิด ของผู้ให้สัมภาษณ์ได้ระดับหนึ่งฯลฯ ปัญหาในการสัมภาษณ์ 1.เปลืองค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก 2.ความน่าเชื่อถือของข้อมูลจะขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้สัมภาษณ์ และความเต็มใจของผู้ถูกสัมภาษณ์ (เช่น กรณีการวิจัยเรื่องการขายบริการ การซื้อเสียงเลือกตั้ง การทุจริตคอรัปชัน ฯลฯ) กลุ่มเสวนา(Focus Group) Focus Group Check List -Topic -Discussion Guide -Personnel: Moderator/Note Taking/Manager -Site of Group Discussion -Tape Recorder -Discussion Aids (Snacks) -Participants -Gifts Before the Session • Theory & Literatures • Discussion Guide • Pretest the Discussion Guide and Moderator Orientation • Contacting Community & Appointment After the Session • Tape & Note transcripts • Transcripts Reading & Data Analysis • Changing Participants & Site • Individual Interview for More Information • Report Writing แหล่งข้อมูลเอกสาร • มีเอกสารอะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง สำคัญงานวิจัยที่ทำ -เอกสารชั้นต้น (แผนงาน/โครงการ รายงานผลการดำเนินงาน รายงานการประเมินผล ฯลฯ) -ข้อมูลตัวเลข สถิติที่เกี่ยวข้อง -งานวิจัย บทความ บทสัมภาษณ์ ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องฯลฯ • ตัวอย่างการวิจัยโดยใช้แห่งเอกสาร การตรวจสอบและการวิเคราะห์ข้อมูล การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของวิจัยเชิงคุณภาพ ความแตกต่างกับงานวิจัยเชิงปริมาณ • งานวิจัยเชิงปริมาณใช้สถิติตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล -การสุ่มตัวอย่างเพื่ออนุมานไปสู่ข้อสรุปของประชากร -การตรวจสอบความน่าเชื่อถือด้วยการสร้างเครื่องมือการวิจัย เช่น การวัดความตรง ความเที่ยง ฯลฯ ความน่าเชื่อถือของงานวิจัยเชิงคุณภาพ 1. การระบุวิธีการศึกษาอย่างละเอียดเพื่อให้เห็นถึง: -ที่มาของแหล่งข้อมูล/วิธีการเก็บข้อมูลที่หลากหลาย รอบด้าน -การอยู่ในสนามที่มีเวลายาวนานมากพอที่จะสะท้อนความเป็น “คนใน” • ดูตัวอย่าง งานวิจัยเรื่อง “นางงามตู้กระจก” “ชีวิตและจุดจบสลัมแห่งหนึ่ง” “การเมืองบนท้องถนนฯ” ฯลฯ 2. การพรรณนานาข้อมูลอย่างละละเอียด ทุกแง่ทุกมุมของปรากฏการณ์ที่ศึกษา -เพื่อทำให้ผู้อ่านเห็นถึงหลักฐาน ข้อมูล ที่ใช้ในการสร้างข้อสรุปที่มีเหตุผลสนับสนุนที่เพียงพอ 3. การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล : การตรวจสอบข้อมูลสามเส้า (data triangulation) • การตรวจสอบด้านเวลา สถานที่ และบุคคลผู้ให้ข้อมูลที่แตกต่างกัน • การตรวจสอบสามเส้าด้านผู้วิจัย (ตรวจสอบโดยการเปลี่ยนตัวผู้เก็บข้อมูล) • การตรวจสอบสามเส้าด้านวิธีการรวบรวมข้อมูล (methodological triangulation) (สัมภาษณ์ สังเกต เอกสาร ฯลฯ) การวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูล • วัตถุประสงคือ การตอบโจทย์ คำถามวิจัย (วัตถุประสงค์ของการวิจัย) • ควรกำหนดเค้าโครงการวิเคราะห์ข้อมูล ตามวัตถุประสงค์ วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล 1.วางเค้าโครงการวิเคราะห์โดยกำหนดตามประเด็นย่อยๆ ในวัตถุประสงค์ 2. การพรรณนาข้อมูลอย่างละเอียด โดยอาศัยหลักฐานจากการสัมภาษณ์ การสังเกต เอกสาร ฯลฯ 3.การสร้างข้อสรุปจากการพรรณนาข้อมูลโดยอาศัยการวิเคราะห์เชื่อมโยงตรรกะ เหตุผล และการอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่ได้จากการศึกษา รวมทั้งอาศัยกรอบแนวคิดทฤษฎี/งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิเคราะห์และการนำเสนอข้อมูล(บทที่ 4) · วัตถุประสงค์ของการนำเสนอคือ การตอบคำถามวิจัย /วัตถุประสงค์ของงานวิจัย · เค้าโครงการนำเสนอข้อมูล : ควรกำหนดตามประเด็นในวัตถุประสงค์ วิธีการนำเสนอ · การพรรณนาข้อมูลอย่างละเอียดในประเด็นที่วิเคราะห์ ระบุแหล่งที่มาข้อมูล/การอ้างอิงแหล่งข้อมูล บุคคลที่ให้ข้อมูลที่หลากหลาย ฯลฯ · การสร้างข้อสรุปจากข้อมูล หลักฐานที่ได้จากการพรรณนาเพื่อตอบโจทย์/คำถามวิจัย · (ดูตัวอย่างงานวิจัยต่างๆ) บทที่ 5 บทสรุปและข้อเสนอแนะ · ทบทวนโจทย์คำถามวิจัย · สรุปข้อค้นพบตามวัตถุประสงค์เป็นข้อๆ หรือประเด็นๆ · การอภิปรายผล · ข้อเสนอแนะ การอภิปรายผล · การวิเคราะห์ อธิบายข้อค้นพบเพื่อหาสาเหตุ ที่มาของปรากฏการณ์ที่ค้นพบ · การถกเถียงข้อค้นพบกับงานวิจัยชิ้นอื่นๆ ที่ทำมาก่อนว่า มีข้อค้นพบที่เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร · การถกเถียงในเชิงกรอบแนวคิด ทฤษฎี ข้อเสนอแนะ · ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติการ · ข้อเสนอแนะสำหรับงานวิจัยครั้งต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น