วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
ระเบียบวิจัย อ.อัญชนา
ส่วนของ อ.อัญชนา
วัตถุประสงค์ ทำไมนักบริหารต้องเรียนรู้ระเบียบวิธีวิจัย
เพื่อให้มีความรู้พื้นฐานและความเข้าใจบทบาทของงานวิจัย (เช่น งานวิจัยจะช่วยตอบปัญหาอะไรได้/ไม่ได้บ้าง)
เพื่อให้สามารถประเมินผลงานวิจัยของผู้อื่นได้ (ข้อสอบให้ประเมินผลงานวิจัย)
นักวิจัยไปทำการศึกษาโลกจริง คือ ปรากฎการณ์ต่างๆ ตามธรรมชาติ ซึ่งมีความซับซ้อน นักวิจัยก็ต้องไปเก็บรวบรวมข้อมูลมาด้วยวิธีการต่างๆ ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 เมื่อได้ข้อมูลมาก็ต้องตีความ แต่โดยทั่วไปคนมักมีอคติมีแนวคิดของตัวเองอยู่ จึงทำให้ข้อมูลที่เราได้รับมาอาจถูกตีความไปในรูปแบบที่ทำให้ความจริงกลายเป็นความเท็จได้ เชื่อว่าจริง ก็ยึดมั่นว่าจริง และปกป้องความเชื่อนั้น แต่นักวิจัยต้องไม่ยึดความเชื่อ แต่ยึดหลักฐานที่ปรากฎเท่านั้น นักวิจัยจึงต้องมีอคติน้อยที่สุดและมองข้อมูลให้เป็นวิทยาศาสตร์ที่สุด
เกริ่นนำ
การเรียนวิจัยตามทฤษฎีอย่างเดียวก็อาจจะง่าย แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถลงไปทำได้จริง ดังนั้นการเรียนวิจัยที่ดีจะต้องได้ลงมือทำด้วย
การวิจัยในสาขาต่างๆ ก็มีระเบียบวิธีวิจัยที่แตกต่างกัน เช่น วิทยาศาสตร์ก็เน้นผลการทดลองในห้องแลป แต่สังคมจะเน้นการศึกษาปรากฎการณ์ในธรรมชาติ
การวิจัยทางรศ. จะเน้นแบบ Generalist ไม่เน้น specialist
การทำโพลล์ เป็นส่วนหนึ่งของการทำวิจัย ซึ่งต้องอาศัยระเบียบวิธีวิจัยเช่นกัน แต่ในเชิงวิชาการจะไม่ให้เน้นการทำโพลล์
การทำวิจัยเชิงนโยบาย (Policy Research) จะต้องใช้การทำวิจัยที่เป็น serious research เท่านั้น การเสนอแนะเชิงนโยบายต้องอ้างอิงตามข้อมูลที่สำรวจจริง ไม่ใช่เอาทัศนคติของนักวิจัยมาเป็นตัวตัดสิน เช่น ทำวิจัยเรื่องการทำการตลาดของโออิชิ แต่ให้ข้อเสนอแนะว่า อย.ควรเข้ามาดูกระบวนการผลิต จึงถือว่าข้อเสนอแนะไม่ตรงกับข้อคำถามการวิจัย
งานวิจัยมีหลายระดับ ลักษณะงานวิจัยในหน่วยงานมีดังนี้
Peer Review การวิจารณ์ส่วนบุคคล งานวิจัยจะต้องให้คนอื่นวิจารณ์ด้วย ถึงจะได้รับการยอมรับเชิงวิชาการ
“White Paper” หน่วยวิจัยไปรวบรวมข้อมูลมาเพื่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบตัดสินใจใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ
Environmental Impact Assessment (EIA) วิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ผู้ลงทุนเป็นผู้จ่ายเงินให้ทำวิจัย จึงมีโอกาสที่จะมีความโน้มเอียง
Social Impact Assessment (SIA) วิเคราะห์ผลกระทบทางสังคม เช่น มีผลกระทบอะไรกับชุมชนบ้าง
Health Impact Assessment (HIA) วิเคราะห์ผลกระทบทางสุขภาพ
คำถามการวิจัย
Positive Question เป็นคำถามที่พยายามหาคำอธิบายปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นว่าสาเหตุเกิดจากอะไร
Normative Question เป็นคำถามที่พยายามหาทางแก้ไขปัญหา ซึ่งคำตอบของ normative ก็มักขึ้นอยู่กับ positive ก็ได้
การจะตั้งคำถาม normative ได้ ต้องถามตัวเองก่อนว่า มีคำตอบสำหรับคำถาม positive หรือยัง ซึ่งจะต้องทำการทบทวนวรรณกรรมก่อน
แนวคิดและทฤษฎี
คำตอบไม่ได้ตัดสินที่ข้อมูล/ข้อเท็จจริงที่พบในการวิจัยเสมอไป เพราะว่าข้อมูลหนึ่งชุดสามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีมากกว่า 1 ทฤษฎีและทุกทฤษฎีก็ฟังดูมีเหตุผลทั้งนั้น
กระบวนการวิจัย
ไม่ใช่ว่าผ่านตามขั้นตอน 1-5 แล้ว จะเสร็จสิ้นการวิจัย เช่น ถ้าทบทวนวรรณกรรมแล้วพบว่ามีคนทำมากแล้ว ก็ต้องเปลี่ยนคำถามการวิจัยใหม่
การตั้งคำถาม
ต้องเป็นประเด็นที่น่าสนใจ ไม่ใช่ว่าอ่านแล้วรู้คำตอบทันที (Obvious)
บางคำถามอาจดูง่าย แต่ว่าคำตอบที่เราคิดว่าน่าจะใช่ อาจจะไม่ใช่ก็ได้
การตั้งคำถามต้องสนใจทฤษฎีด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าคำถามนั้นใช้ได้
ต้องเป็นคำถามที่หาสัจธรรมจากความเป็นจริง เช่น ประเทศไทยต้องเอาดีด้านการเกษตร จริงหรือ
Karl Popper ทฤษฎีไม่เคยได้รับการพิสูจน์ มีแต่ยืนยันกับปฏิเสธ และถ้ามีพบข้อมูลที่ขัดแย้งกับทฤษฎีนั้นเมื่อไหร่ ทฤษฎีก็ถูกล้มล้างทันที
การทำวิจัยต้องพึ่งทฤษฎี อย่าพึ่ง common sense เพราะอาจทำให้ผิดพลาดได้
Fallacy Trap
Fallacy of Composition เวลาทำการวิเคราะห์ต้องระบุให้ชัดเจนว่า วิเคราะห์ในระดับ micro หรือ macro เพราะว่าอะไรที่เป็นจริงสำหรับ micro ไม่จำเป็นต้องเป็นจริงในระดับ macro เสมอไป สาเหตุหนึ่งเกิดจากผลกระทบภายนอก (externality) และ/หรือ มี interaction ระหว่างกัน เช่น มี otop ที่เดียวอาจดี แต่ถ้ามีทั้งประเทศก็จะเกิดการแข่งขันกัน แย่งกันขาย หรือ ความเสี่ยงของเกษตรกรกับความเสี่ยงของประเทศ
Fallacy of Division เป็นส่วนกลับของ f-of-composition คือ อะไรที่เป็นจริงในระดับ macro ไม่จำเป็นต้องเป็นจริงในระดับ micro เช่น คนไทยที่จนเพราะรายจ่ายด้านสุขภาพส่วนใหญ่มาจากค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการเป็นผู้ป่วยนอก เพราะฉะนั้น ภาระของแต่ละครัวเรือนที่เกิดจากการเข้านอน รพ.จะต่ำหรือไม่ใช่ภาระที่สำคัญของครอบครัว (ไม่ใช่)
Post-hoc Fallacy คือ ความเป็นเหตุเป็นผลที่ผิด เหตุกับผลที่เราสรุปไม่ได้มีความสัมพันธ์กันจริง แต่มีตัวแปรที่สามมาเกี่ยวข้อง เกิดเหตุที่หนึ่งทำให้เกิดผลที่สอง เกิดเหตุที่สองทำให้เกิดผลที่สาม ทำให้สรุปไปว่า เหตุที่หนึ่งทำให้เกิดผลที่สาม หรือ เหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับเหตุการณ์สอง จึงระบุว่าเหตุการณ์หนึ่งกับสองมีความสัมพันธ์กัน เช่น ระฆัง a ถึงสามทุ่ม ระฆัง b จะตี ถ้าสรุปว่าระฆัง a ทำให้ระฆัง b ตี ก็ผิด หรือ ห้างสรรพสินค้ากับอาชญากรรม หรือ บุหรี่กับเกรดการเรียน หรือ การดื่มนมกับมะเร็ง ซึ่งเหมือนจะมีความสัมพันธ์กัน แต่จริงๆ มาจากอายุเฉลี่ยของคนที่เป็น sample ซึ่งสูงกว่าที่อื่น
Tautology คือ การที่เราใช้คำที่แตกต่างกันมาอธิบายแต่ไม่ได้ความหมายเพิ่ม เป็นการใช้คำซ้ำซาก ในเชิงของงานวิจัยมีได้สองอย่าง คือ โดยคำจำกัดความ (by definition) และ โดยโครงสร้าง (by construction) เช่น การออกแบบสอบถามสำหรับประเมินการฝึกอบรม ซึ่งเป็นการถามความรู้สึกของคนตอบ และคนที่ชอบก็มักตอบว่าเทรนแล้วได้ประโยชน์ดี จึงไม่อาจสรุปได้ว่า เทรนนิ่งดีแล้วจะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเสมอไป คำถามเชิงความคิดเห็น (Subjective) มักไม่ได้รับการยอมรับ
Faith ศรัทธามักไม่สามารถไปกับการวิจัยได้ นักวิจัยต้องไม่ใช้ความเชื่อในการทำวิจัย
Romanticism/Nostalgia คนมีแนวโน้มที่จะมองอดีตดีกว่าปัจจุบัน เช่น มองว่าตอนเป็นเด็กสบายกว่าตอนนี้ เพราะฉะนั้นต้องไม่ถามคำถามที่เป็นความรู้สึก subjective เพราะคนมีแนวโน้มที่จะรู้สึกว่าอดีตดีกว่า
คุณสมบัติที่พึงปรารถนาของงานวิจัย
ทำซ้ำได้ (Replicability) นักวิจัยต้องให้ข้อมูลที่ละเอียดชัดเจนเพื่อให้คนอื่นมาทำซ้ำได้ ถ้าใช้วิธีเดียวกัน ข้อมูลชุดเดียวกัน ต้องได้ผลเหมือนกัน แสดงว่างานวิจัยนั้นมีความสม่ำเสมอ (Robustness) และถ้าทำในคนละที่คนละเวลาแล้วยังได้ผลเหมือนกันก็จะช่วยให้งานวิจัยนั้นมีความเป็น generalize มากขึ้น สามารถนำไปใช้ในเชิงนโยบายภาพกว้างได้ดีขึ้น
จริยธรรมในการทำวิจัย
จริยธรรมในทางวิชาการ
การทำวิจัยให้ได้ผล “ตามใบสั่ง”
ปัญหาการลอกเลียนงานของผู้อื่น (plagiarism)
ข้อมูลต้องเปิดเผยเพื่อเหตุผลทางวิชาการ
จริยธรรมในการทำวิจัยกับคน
Hyprocratic Oath “First, do no harm” ต้องไม่ทำอันตรายทางร่างกาย จิตใจ และการเงิน ของกลุ่มตัวอย่าง กฎหมายจึงกำหนดให้ต้องมีการให้กลุ่มตัวอย่างเซ็นยินยอม (informed consent) ด้วย ของไทยไม่ต้องมี informed consent (ยกเว้นด้านสาธารณสุข)
Privacy/Anonymity/Confidentiality การปกปิดความลับให้กับกลุ่มตัวอย่าง
การทำวิจัยเพื่อซื้อเวลา (เช่น รัฐบาล)
นักวิจัยต้องเปิดเผยผู้ให้ทุน เพื่อจะได้ดูว่างานวิจัยนั้นมี conflict of interest หรือไม่
อย่าสัญญาอะไรที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทำได้
การตั้งคำถามการวิจัย
ความสำคัญของปัญหาที่จะทำการวิจัย โดยดูจากจำนวนคนที่เกี่ยวข้อง (ยิ่งมากยิ่งสำคัญ) ความรุนแรงของปัญหา (รุนแรงมากยิ่งสำคัญ) ขอบเขตของปัญหา (ยิ่งกว้างยิ่งสำคัญ)
เป็นไปได้ในทางปฏิบัติทั้งทางด้านวิธีการวิจัย (Methodology) จริยธรรม (Ethics) และการเงิน (finance)
ตั้งคำถามให้สามารถทำวิจัยได้ คือ สามารถหาข้อมูลเชิงประจักษ์ได้
การเลือกปัญหาการวิจัย
ปัญหาสังคม
แหล่งที่มาของปัญหา
ผลที่ตามมาของปัญหาเหล่านี้
ผลลัพธ์ของโครงการทางสังคมต่างๆ
ทดสอบทฤษฎี เช่น ทดสอบทฤษฎีเคนส์ว่าถ้ารัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วจะทำให้ gdp เพิ่มขึ้นจริงหรือไม่
งานวิจัยที่มีผู้ทำมาแล้ว
ข้อจำกัดของงานวิจัยที่ผ่านมา
คำถามใหม่ๆ จากงานวิจัย
ตั้งคำถามผลการวิจัยของงานวิจัยที่ผ่านมา
การประเมินผลโครงการ
การวิจัยทางด้านนโยบาย
การนำนโยบายไปปฏิบัติ
การวิเคราะห์โครงการ
หลักวิชาต่างๆ
เศรษฐศาสตร์
การเงินการคลัง
การจัดการปฏิบัติการ
หลักเกณฑ์ในการกำหนดประเด็น
วัตถุประสงค์และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
การทบทวนวรรณกรรม
กรอบแนวคิดในการวิจัย (Conceptual framework)
หมายถึง แนวความคิดของผู้วิจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของตัวแปรและปัจจัยต่างๆ ที่ศึกษา
อ.อัญชนา
วัตถุประสงค์ ทำไมนักบริหารต้องเรียนรู้ระเบียบวิธีวิจัย
เพื่อให้มีความรู้พื้นฐานและความเข้าใจบทบาทของงานวิจัย (เช่น งานวิจัยจะช่วยตอบปัญหาอะไรได้/ไม่ได้บ้าง)
เพื่อให้สามารถประเมินผลงานวิจัยของผู้อื่นได้ (ข้อสอบให้ประเมินผลงานวิจัย)
นักวิจัยไปทำการศึกษาโลกจริง คือ ปรากฎการณ์ต่างๆ ตามธรรมชาติ ซึ่งมีความซับซ้อน นักวิจัยก็ต้องไปเก็บรวบรวมข้อมูลมาด้วยวิธีการต่างๆ ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 เมื่อได้ข้อมูลมาก็ต้องตีความ แต่โดยทั่วไปคนมักมีอคติมีแนวคิดของตัวเองอยู่ จึงทำให้ข้อมูลที่เราได้รับมาอาจถูกตีความไปในรูปแบบที่ทำให้ความจริงกลายเป็นความเท็จได้ เชื่อว่าจริง ก็ยึดมั่นว่าจริง และปกป้องความเชื่อนั้น แต่นักวิจัยต้องไม่ยึดความเชื่อ แต่ยึดหลักฐานที่ปรากฎเท่านั้น นักวิจัยจึงต้องมีอคติน้อยที่สุดและมองข้อมูลให้เป็นวิทยาศาสตร์ที่สุด
เกริ่นนำ
การเรียนวิจัยตามทฤษฎีอย่างเดียวก็อาจจะง่าย แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถลงไปทำได้จริง ดังนั้นการเรียนวิจัยที่ดีจะต้องได้ลงมือทำด้วย
การวิจัยในสาขาต่างๆ ก็มีระเบียบวิธีวิจัยที่แตกต่างกัน เช่น วิทยาศาสตร์ก็เน้นผลการทดลองในห้องแลป แต่สังคมจะเน้นการศึกษาปรากฎการณ์ในธรรมชาติ
การวิจัยทางรศ. จะเน้นแบบ Generalist ไม่เน้น specialist
การทำโพลล์ เป็นส่วนหนึ่งของการทำวิจัย ซึ่งต้องอาศัยระเบียบวิธีวิจัยเช่นกัน แต่ในเชิงวิชาการจะไม่ให้เน้นการทำโพลล
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น