ืnida

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

แนวข้อสอบระเบียบวิจัย

สรุปวิชา อ.สุจิตรา (ระเบียบวิธีวิจัย 1) การออกแบบการวิจัย 1.​ขอบข่ายการวิจัยและการตั้งปัญหาการวิจัย ​การวิจัย(research) : การค้นคว้าหรือการศึกษาหาคำตอบอย่างละเอียดรอบคอบ ต่อประเด็นคำถามที่กำหนดขึ้นไว้ก่อน ​- ต้องตั้งประเด็นคำถามหรือปัญหาก่อนจะมีการวิจัย ​- ถามในสิ่งที่น่าสนใจ ​หลักเกณฑ์ในการเลือกหัวข้อการวิจัย ​1) ความสำคัญของปัญหา: ไม่ง่ายเกินไป ควรเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจ ช่วยเสริมสร้างความรู้ให้เพิ่มมากขึ้น ​2) ความเป็นไปได้ : บางคำถามอาจเป็นนามธรรม แนวทางในการตอบอาจไม่ชัดแจ้ง บางคำถามยากแก่การตอบและรวบรวมข้อมูล ​3) ความน่าสนใจและการทันต่อเหตุการณ์ ​4) ความสนใจของผู้ที่จะวิจัย ​5) ความสามารถที่จะทำให้บรรลุผล ​หลักเกณฑ์ 6 ประการ ในการพิจารณาความเหมาะสม/ความสำคัญของปัญหา ​1) ความเด่นชัด (explicit) : ตั้งคำถามตรง ๆ ว่าต้องการศึกษาอะไร ไม่วกวน ​2) ความชัดเจน (clear) : ระบุปัญหาโดยใช้ภาษาที่ง่าย กะทัดรัด ระบุขอบเขตไว้เฉพาะอย่างตายตัว ​3) เป็นความคิดริเริ่ม (Original) : ควรเป็นปัญหาใหม่ ไม่วิจัยในสิ่งที่มีคำตอบอยู่แล้ว ​4) ทดสอบได้ (testable) : เป็นปัญหาที่สามารถตอบได้ ด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์ ​5) มีความสำคัญเชิงทฤษฎี(theoretically significant) : เป็นการเสริมสร้าง/พัฒนาองค์ความรู้ ​6) มีความสำคัญต่อสังคม (society relevant) : ช่วยแก้ไข/ให้คำตอบต่อสิ่งที่เป็นปัญหาในสังคมหนึ่ง ๆ ได้ 2.​การออกแบบวิจัย : การกำหนดรูปแบบของการศึกษาวิจัย เพื่อทดสอบว่าตัวแปร 2 ตัว มีความสัมพันธ์กันในเชิงเหตุผลแท้จริงหรือไม่ แบ่งเป็น 3 ประเภท ​2.1​การวิจัยแบบทดลอง (Experimental Design) : การเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม (กลุ่มแรก มีตัวแปรต้น กลุ่มที่ 2 ไม่มีตัวแปรต้น) เพื่อพิสูจน์ว่าตัวแปรต้นมีอิทธิพลต่อต่อแปรตามจริงหรือไม่ ​กระบวนการของการวิจัยแบบทดลอง ​1) กำหนดเป้าหมายประชากร ​2) สุ่มตัวอย่างตามโอกาสความน่าจะเป็นไปได้(probability sample) ​​3) แบ่งกลุ่มตัวอย่างเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลอง(มีตัวแปรต้น) กลุ่มควบคุม(ไม่ตัวแปรต้น) ​​4) อาจเก็บข้อมูลล่วงหน้า โดยวัดตัวแปรตามไว้ ​​5) ปฏิบัติการต่อกลุ่มทดลอง (treatment) ​​6) เก็บข้อมูล ​​7) เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของทั้ง 2 กลุ่ม ​​การวิจัยแบบทดลอง 4 รูปแบบ ​​1) แบบทดลองที่มีกลุ่มควบคุม โดยเก็บข้อมูลทั้งก่อนและหลังการดำเนินโครงการ (Pretest – Posttest Control Group Design) ​2) แบบทดลองที่มีกลุ่มควบคุม โดยเก็บข้อมูลหลังการดำเนินกิจกรรมโครงการ (Posttest – only Control Group Design) : ใช้เมื่อแบบแรกมีปัญหาเรื่องปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจากการเก็บข้อมูลขั้นต้นที่ส่งผลต่อแนวโน้มที่จะยอมรับ/ปฏิเสธ การปฏิบัติการ ​ ​​3) แบบทดลองแบบ 4 กลุ่ม ของโซโลมอน(Solomon Four – Group Design) : ผสมกันแบบ 1 กับ 2 ​ ​​4) Randomized Block : ใช้กรณีมีประชากรลักษณะแตกต่างกันมาก จึงต้องแบ่งประชากรออกเป็นกลุ่ม ๆ ตามชั้นภูมิ เป็นการรวมหน่วยประชากรที่มีลักษณะคล้ายกันไว้เป็นพวกเดียว(Block) แล้วค่อยทำการวิจัยแบบทดลอง เป็นการวิจัยซ้ำ โดยใช้กลุ่มประชากรที่ต่างกัน ​Block 1​ ​Block 2​ ​2.2​การวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi – Experimental Designs) : แตกต่างจากแบบทดลอง 2 ประการ คือ ​​- อาจไม่มีกลุ่มควบคุม แต่จะมีการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับตัวแปรตามเป็นระยะ ๆ หลังจากนั้นจะมีการใส่ตัวแปรต้นลงไป แล้วเก็บข้อมูลต่อ จากนั้นเปรียบเทียบผลก่อน และหลังใส่ตัวแปรต้น ​​- อาจมีกลุ่มควบคุมที่มีลักษณะพิเศษ คือ เป็นกลุ่มที่คัดเลือกมาให้คล้ายกับกลุ่มทดลอง แต่การ จัดกลุ่มด้วยวิธีคัดเลือก และไม่มีการสุ่มกระจาย อาจทำให้ลักษณะของกลุ่มควบคุมแตกต่างจากกลุ่มทดลองตั้งแต่ต้น เกิดปัญหาการตีความข้อมูล ​1) การออกแบบเชิงอนุกรม (Time Series Designs) : ไม่มีกลุ่มควบคุม มุ่งเก็บข้อมูลเป็นระยะ ๆ ทั้งก่อนและหลังดำเนินโครงการ O1 O2 O3 X O4 O5 O6 จะเห็นว่าคล้ายกับการศึกษากรณีตัวอย่างกรณีเดียวโดยจัดให้มีการวัดทั้งก่อนและหลังโครงการ แต่เพิ่มช่วงระยะเวลาการวัดและจำนวนครั้งที่วัดมากขึ้น เพื่อให้แน่ใจเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง ​จุดอ่อน - เหตุการณ์อื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงดำเนินการวิจัย อาจส่งผลกระทบต่อตัวแปรที่เราศึกษา อาจนำมาใช้เก็บข้อมูลเปรียบเทียบกับกลุ่มนอกเขตโครงการ ดังนี้ ​O1 O2 O3 X O4 O5 O6 (ในเขตโครงการ) ​O1 O2 O3 O4 O5 O6 (นอกเขตโครงการ) ​​2) การออกแบบโดยมีกลุ่มควบคุมไม่เหมือนกลุ่มทดลอง(Nonequivalent Control Group Design) : เป็นแบบกึ่งทดลองที่นิยมใช้ ได้แก่ การวิจัยที่มีกลุ่มควบคุมไม่เหมือนกลุ่มทดลอง แต่จะเลือกกลุ่มควบคุมให้มีลักษณะคล้ายคลึงกับกลุ่มทดลองเท่าที่จะเป็นไปได้ ​​- อย่างไรก็ตามกลุ่มควบคุมดังกล่าว จะถือว่าเป็นกลุ่มเปรียบเทียบ(Comparison group) มากกว่าเป็นกลุ่มควบคุม เพราะไม่ได้ใช้หลักการสุ่มตัวอย่างกระจาย ในการกำหนดว่าใครจะอยู่กลุ่มทดลอง/กลุ่มเปรียบเทียบ จึงขาดคุณสมบัติเชิงสถิติที่จะอ้างว่ากลุ่มทั้ง 2 เหมือนกัน ในทางปฏิบัติจะเลือกกลุ่มเปรียบเทียบให้คล้ายกลุ่มทดลองมากที่สุด ​​- วัตถุประสงค์หลักในการจัดกลุ่มเปรียบเทียบ คือ เพื่อให้ได้กลุ่มที่มีลักษณะเหมือนกลุ่มทดลอง โดยเฉพาะส่วนที่อาจเข้าไปสัมพันธ์กับตัวแปรตาม(เช่น อาชีพ ระดับการศึกษา อายุ) จะเกิดปัญหาว่า เราจะสามารถรู้ล่วงหน้าได้อย่างไรว่าตัวแปรใดเกี่ยวข้องกับตัวแปรตามบ้าง ​​3) การออกแบบทดลองก่อนและหลังโดยใช้กลุ่มตัวอย่างที่แตกต่างกัน (Separate-Sample Pretest – Posttest Designs) ใช้แก้ปัญหากรณีกลุ่มตัวอย่างมีปฏิกิริยาในการเก็บข้อมูลก่อนดำเนินกิจกรรมโครงการ ทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป ​​- ก่อนดำเนินโครงการ เก็บข้อมูลจากกลุ่มหนึ่ง ​- หลังดำเนินโครงการ เก็บข้อมูลจากอีกกลุ่มหนึ่ง ​- ถือว่ากลุ่มตัวอย่างที่ 2 ใช้แทนตัวอย่างแรกได้ ​จุดอ่อน กลุ่มเปรียบเทียบอาจมีลักษณะไม่เหมือนกลุ่มทดลอง ​2.3​การวิจัยแบบไม่ทดลอง (Non-experimental Designs) : การศึกษาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่เป็นจริง โดยไม่มีการบังคับค่าตัวแปรหนึ่ง ๆ เพื่อศึกษาผลกระทบของตัวแปรนั้นต่อตัวแปรตาม เป็นวิธีที่ใช้มากที่สุดในทางสังคมศาสตร์และ รปศ. ​​- เนื่องจากไม่มีมาตรการควบคุม/บังคับค่าของตัวแปร จึงต้องเก็บข้อมูลเกี่ยวกับตัวแปรอื่นนอกจากตัวแปรต้นและตัวแปรตาม เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์ ควบคุมเชิงสถิติ และเพื่อให้แน่ใจว่าตัวแปรที่เราคาดว่าเป็นเหตุเป็นผลกันนั้น มีความสัมพันธ์กันแท้จริงหรือไม่ ตัวแปรอื่น ๆ นี้ เรียกว่า “ตัวแปรทดสอบ” ​1) การวิจัยตัดขวาง (Cross – Sectional Studies) : จะวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ โดยออกไปเก็บข้อมูลในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ครั้งเดียว ตัวแปรจึงต้องมีการผันแปรมากที่สุด เพื่อจะสามารถทดสอบความมากน้อยของความสัมพันธ์ในเชิงสถิติต่อไป เช่น จะศึกษา/วัดว่าระดับการศึกษามีผลต่อการไปลงคะแนนอย่างไร ก็ต้องหากลุ่มตัวอย่างที่มีระดับการศึกษาต่างกัน เพื่อให้ระดับการศึกษาเป็นตัวแปรที่มีการผันแปร ​ต้องเก็บข้อมูลตัวแปรอื่น ๆ ที่อาจเกี่ยวข้องมาเป็นตัวแปรทดสอบ/ตัวแปรควบคุม ในการวิเคราะห์เชิงสถิติ เช่น ภูมิลำเนาเป็นตัวแปรสาเหตุที่แท้จริง คือ ประชาชนในเขตเมืองมีระดับการศึกษาสูงกว่าประชาชนในชนบท และใช้เสียงมากกว่า จึงมีรูปแบบดังนี้ มาเป็น ​2) การวิจัยแบบระยะยาว (Longitudinal Design) : เป็นการเก็บข้อมูลมากกว่า 1 ครั้ง ด้วยวิธีเดิม เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงในตัวแปรต่าง ๆ ว่าเปลี่ยนแปลงหรือไม่ตามกาลเวลา โดยการวิเคราะห์ข้อมูลทำได้ 2 ลักษณะ ​​- วิเคราะห์เหมือนวิจัยแบบตัดขวาง โดยนำผลแต่ละครั้งมาเปรียบเทียบกัน ​- วัดความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แล้วนำข้อมูลการเปลี่ยนแปลงมาวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตัวแปรต่าง ๆ ​​ประเภทการวิจัยระยะยาว ประเภทการวิจัยระยะยาว การเก็บข้อมูลครั้งที่ 1 การเก็บข้อมูลครั้งที่ 2 การเก็บข้อมูลครั้งที่ 3 การเก็บข้อมูลครั้งที่ 4 ใช้กลุ่ม ต.ย.กลุ่มเดียวกันหลายครั้ง(Panel Studies) GA GA GA GA ใช้กลุ่ม ต.ย.ที่เปลี่ยนไปในแต่ละครั้ง (Successive Samples) GA GB GC GD แบบผสม GA GA GB GA GC GA GD ​2.4​แบบวิจัยแบบเตรียมทดลอง (Pre – Experimental Design) ​1) แบบกลุ่มเดียวทดสอบครั้งเดียว (One – Shot Case Study) [ X Oy ] : ศึกษาตัวแปรตามหลังจากดำเนินการกับกลุ่มตัวอย่างแล้ว ​มีปัญหามากที่สุด ข้อสรุปไม่ชัดแจ้งแน่นอน เพราะไม่ได้วัดตัวแปรก่อนดำเนินกิจกรรม มาเปรียบเทียบการสรุปต่าง ๆ อาจขาดน้ำหนัก พิสูจน์ทราบความสัมพันธ์ไม่ได้อย่างเป็นระบบ ​2) แบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและทดสอบหลัง [ O1 X O2 ] : วัดตัวแปรตามทั้งก่อนและหลังดำเนินโครงการเพื่อเปรียบเทียบกัน (ขาดการเปรียบเทียบกับกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ได้เข้าไปอยู่ในโครงการ) ​3) แบบมีกลุ่มเปรียบเทียบ (Static Group Comparison) ​หากกลุ่มทั้ง 2 แตกต่างกันตั้งแต่ต้น ไม่สามารถกล่าวได้ว่าความแตกต่างเป็นผลมาจากการดำเนินโครงการ 3.​อคติที่อาจทำให้การวิจัยขาดความแม่นตรง อคติ (Bias) คือ การได้มาซึ่งข้อสรุปที่ลำเอียงไปในทิศทางใดทางหนึ่ง ​3.1​ปัจจัยที่อาจทำให้เกิดอคติต่อความถูกต้องภายใน (Internal validity) 8 ประเภท ​1) เหตุการณ์อื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเดียวกับการศึกษาวิจัย อาจส่งผลกระทบต่อตัวแปร ​2) การเติบโต (Maturation) : การเปลี่ยนแปลงของประชากรที่ศึกษาที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ตามกาลเวลา ​3) ปฏิกิริยาที่เกิดจากการทดสอบ(Testing) ความเคยชินหรือความคุ้นเคยที่เกิดจากการได้รับการทดสอบซ้ำ ๆ ซาก ๆ ส่งผลต่อการวัดครั้งต่อ ๆ ไป ​4) การเสื่อมสภาพของเครื่องวัด (Instrument Decay) : ทำให้การวัดผิดพลาดคลาดเคลื่อน ​5) การถดถอยทางสถิติ (Statistical Regression) : ในการเก็บข้อมูล/สังเกตการณ์ครั้งหนึ่ง ๆ อาจได้ตัวอย่างที่ไม่เป็นตัวแทนประชากรทั่วไป ค่าที่วัดได้อาจสูงหรือต่ำกว่าความจริง ​6) วิธีการเลือกตัวอย่าง (Selection) : อคติที่อาจเกิดขึ้นได้หากเปรียบเทียบกลุ่ม 2 กลุ่ม ที่ไม่ได้ จัดกลุ่มโดยใช้การสุ่มตัวอย่างกระจาย อาจมีคุณสมบัติที่ไม่เหมือนกันตั้งแต่ต้น ​7) การสูญเสียประชากร (Experimental Mortality) : ตัวอย่างที่สุ่มมาบางราย อาจสูญไปในระหว่างดำเนินโครงการ ​8) ความเติบโตในอัตราที่ต่างกันในกลุ่มตัวอย่างที่คัดเลือก (Selection Maturation Interaction) : กลุ่มตัวอย่างที่คัดเลือกเพื่อทำการเปรียบเทียบ มีการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติในอัตราที่แตกต่างกัน ​3.2​ปัจจัยที่อาจทำให้เกิดอคติต่อความถูกต้องภายนอก (External Validity) ​1) ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจากการทดลองขั้นต้น ส่งผลต่อการทดสอบขั้นต่อไป(Interaction Between testy and Treatment) ​2) วิธีการคัดเลือกตัวอย่าง (Selection) : อาจส่งผลต่อความถูกต้องทั้ง ภายและภายนอก กล่าวคือ กลุ่มตัวอย่างที่สุ่มมามิได้เป็นตัวแทนของประชาชนทั่วไป ​3) ปฏิกิริยาที่เกิดจากกลุ่มทดสอบทราบว่าตนกำลังเป็นเป้าความสนใจ (Reactive Effects of Experimental Arrangements) : นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมบางอย่างอันเนื่องมาจากการได้รับความเอาใจใส่เป็นพิเศษ แต่ไม่ได้เป็นผลจากโครงการ ปฏิกิริยานี้เรียกว่า “ผลแบบฮอร์ทอร์น” (Hawthorne effects) ​​4) ผลกระทบที่เป็นผลรวมของสาเหตุอื่น ๆ (Confounded Treatment Effects) : ผลกระทบที่เกิดจากหลายสาเหตุ จนไม่รู้ว่าเกิดจากสาเหตุใด 4.​ข้อคิดในการเลือกแบบวิจัย ​- พิจารณาตามความเหมาะสมและเป็นไปได้ในระยะเวลา งบประมาณ ความสมเหตุสมผลในแง่ การบริหารโครงการ ​- ในทางปฏิบัติจริง สถานการณ์มักเป็นตัวกำหนดแบบวิจัย : สถานการณ์หนึ่งเหมาะสมกับการทำวิจัยรูปแบบหนึ่ง การสุ่มตัวอย่าง 1.​ประชากรและหน่วยการวิเคราะห์ ​ประชากร (Population) : กลุ่มหรือทั้งหมดของสิ่งที่

สรุประเบียบวิจัย รศ.6020

ข้อ 1. การวิจัยเชิงทดลองเป็นประเภทของการวิจัยแบบหนึ่ง โดย 1 มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายความสัมพันธ์แบบสาเหตุและผล 2.วิธีการคือการเปรียบเทียบค่าของตัวแปรตาม (ตัวแปรที่ผู้วิจัยสนใจ) จะแตกต่างกันหรือไม่ ถ้าได้รับสิ่งทดลองจากตัวแปรต้นหรือตัวแปรจัดกระทำ (treatment หรือ intervention) ที่แตกต่างกัน หรือถ้ามีสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งได้รับอีกกลุ่มหนึ่งไม่ได้รับ 3 มีความเที่ยงตรงภายใน (internal validity) สูง เพราะค่าของตัวแปรตามที่แปรเปลี่ยนไปเป็นผลจากตัวแปรต้น 4. เป็นแบบการวิจัยที่สามารถควบคุมตัวแปรภายนอกประเภทต่าง ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องไม่ให้มีผลต่อการวิจัยได้ดี 5. เหมาะสมสำหรับสายวิทยาศาสตร์ สำหรับทางด้านรัฐประศาสนศาสตร์การวิจัยแบบนี้จะทำได้ยากเพราะควบคุมตัวแปรภายนอกยาก 6.สามารถออกแบบการทดลองได้หลายแบบ เช่น two group pretest posttest, factorial, randomized block, Solomon four group, latin square, repeated measure เป็นต้น 7.ในการเลือกตัวอย่างเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมจะต้องใช้วิธีสุ่มด้วยความน่าจะเป็นเท่านั้น ผลการวิจัยจึงจะน่าเชื่อถือ ข้อ 2. ตัวอย่างตัวแปรที่วัดในระดับ จัดประเภท (nominal scale) ได้แก่ เพศ, สถานะครอบครัว, อาชีพ, ศาสนา, หมายเลขโทรศัพท์, ทะเบียนรถยนต์ เป็นต้น (ให้สังเกตุว่าเป็นตัวแปรที่มีค่าแปรเปลี่ยนในลักษณะที่เป็นการแบ่งออกเป็นกลุ่ม ๆ หรือประเภทเท่านั้น ไม่ได้บอกหรือแสดงความมากน้อย (ในเชิงปริมาณ) แต่อย่างใด บางตัวอาจเป็นตัวเลขก็ได้ ตัวอย่างตัวแปรที่วัดในระดับ จัดอันดับ (ordinal scale) ได้แก่ ระดับการศึกษา, ยศทหาร, อันดับนางงาม, เกรดรายวิชาเป็นต้น (ให้สังเกตว่าที่ยกมานั้นค่าของตัวแปรจะแปรเปลี่ยนไปแบบมีอันดับ คือบอกความมากน้อยได้ เรียงอันดับได้ แต่ไม่รู้ว่ามากน้อยกว่ากันเท่าใด คือไม่รู้ระยะห่างของแต่ละอันดับที่เป็นปริมาณ) (สองระดับนี้ nominal, ordinal มีอาจารย์ทาง stat. เรียกว่า คำนวณไม่ได้ เพราะเอามาบวกลบคูณหารไม่ได้ ) ตัวอย่างตัวแปรที่วัดในระดับ แบ่งช่วงหรืออัตราส่วน (interval, ratio scale) Interval scale ได้แก่ คะแนนสอบรายวิชา, อุณหภูมิ, ไอคิวของมนุษย์, เป็นต้น (ให้สังเกตว่าที่ยกมานั้นค่าของตัวแปรจะเปลี่ยนไปแบบเป็นปริมาณและเป็นตัวเลขเท่านั้น และระยะห่างมีช่วงห่างที่เท่า ๆ กัน เช่นคะแนนสอบห่างช่วงละ 1 คะแนน เป็นต้น แต่จุดกำเนิดคือเลข 0 เป็นศูนย์ที่สมมติว่ามันเป็นศูนย์ ไม่ใช่ศูนย์จริง ๆ เช่นเราสอบได้ 0 คะแนน ไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีความรู้ เป็นต้น) (ระดับนี้เอามาบวกลบได้ แต่จะเอามาเปรียบเทียบเป็นอัตราส่วนไม่ได้) Ratio scale ได้แก่ตัวแปรที่ให้ค่าแบบชั่ง ตวง หรือวัด เช่น น้ำหนัก ความจุ ส่วนสูง ความยาว จำนวนเงิน เป็นต้น (ให้สังเกตว่าค่าของตัวแปรจะแปรเปลี่ยนไปแบบเป็นปริมาณและเป็นตัวเลขเท่านั้น ระยะช่วงห่างเท่า ๆ กัน และเลข 0 คือศูนย์จริง ๆ ศูนย์หมายความว่า ไม่มี) (ระดับนี้เอามาคำนวณทางคณิตศาสตร์ได้หมดทุกอย่าง) (สองระดับนี้เรียกว่า คำนวณได้) (ข้อควรระวัง ในการออกแบบสอบถามนั้น การถามให้ตอบในแบบที่ต่างกัน ข้อมูลตัวแปรเดียวกัน เช่นอายุ หรือ รายได้ จะได้ระดับของข้อมูลที่ต่างกัน) ข้อ 3. การเลือกตัวอย่างที่เป็นไปตามโอกาสหรือความน่าจะเป็น มีประโยชน์ ดังนี้ 1. โอกาสที่ทุกหน่วยของประชากรจะถูกเลือกมีเท่า ๆ กัน (ไม่มีอคติในการเลือก) 2. สามารถสรุปผลการวิจัยไปสู่ประชากรเป้าหมายได้อย่างน่าเชื่อถือ (generalization) 3. หน่วยตัวอย่างมีคุณสมบัติเป็นตัวแทนประชากร 4. ข้อมูลที่ได้มาสามารถใช้วิธีการวิเคราะห์ทางสถิติที่มีข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับการได้มาซึ่งกลุ่มตัวอย่างโดยวิธีสุ่ม (random) 5. แต่ทั้งหมดจะต้องคำนึงถึงความประหยัดค่าใช้จ่าย ข้อ 4. คำถามข้อนี้เป็นการสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ (systematic random sampling) ซี่งมีขั้นตอนคือต้องกำหนดจำนวนประชากรเป้าหมายที่ต้องตกเป็นกลุ่มตัวอย่างก่อน (n) แล้วจึงกำหนดช่วงห่าง (k) โดยการเอาจำนวนประชากรเป้าหมายทั้งหมด (N) หารด้วย (n) แล้วทำการสุ่มอย่างง่าย (จับฉลาก) เพื่อหากลุ่มตัวอย่างคนแรกหรือตัวแรก (R) ในที่นี้ได้คนที่ 1 แล้วทำการบวกด้วย k ไปเรื่อย ๆ จนครบตามจำนวนที่ต้องการ กรณีนี้จะทำได้ต้องมีกรอบประชากร คือรายชื่อที่กำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว ในที่นี้ N/n ได้เท่ากับ 2.5 ประชากรที่สนใจสุ่มตัวอย่างถ้าเป็นคนเลขเศษส่วนทำไม่ได้ จึงต้องปัดเป็น 3 ดังนั้น คนที่ 1 เป็นตัวอย่างแรก ตัวอย่างที่ 2 คือ R+k = คนที่ 4 ตัวอย่างที่ 3 คนต่อไป คือ R+2k = คนที่ 7 ตัวอย่างที่ 4 คนต่อไป R+3k = คนที่ 10 ตัวอย่างที่ 5 คนต่อไป R+4k = คนที่ 13 ข้อ 5. คำตอบคือ 217 คน วิธีดูตารางก็ง่าย ๆ ให้ดูฝั่งซ้ายในแต่ละกรอบที่เขียนว่า ประชากร แล้วดูฝั่งขวาในกรอบเดียวกันที่เขียนว่า ขนาดตัวอย่าง เพราะฉะนั้นประชากร 500 ก็จะตรงกับขนาดตัวอย่าง 217 (ตารางกำหนดขนาดตัวอย่างมีหลายแบบหลายสำนัก แตกต่างกันไป) ข้อ 6. การเลือกตัวอย่างแบบเจาะจงจะใช้เมื่อ 1. เรื่องที่ทำการวิจัยต้องการกลุ่มตัวอย่างที่มีลักษณะเฉพาะและหาได้ยากมีคุณสมบัติครบถ้วนตามนิยามประชากรที่ใช้ในการวิจัย เช่นต้องการผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะ 2. ประชากรในเรื่องที่ทำวิจัยนั้นมีจำนวนน้อย ประโยชน์ของการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง 1. หน่วยตัวอย่างที่เลือกมานั้นสามารถให้ข้อมูลได้ถูกต้องครบถ้วนตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย 2. มีความประหยัดค่าใช้จ่ายในการเลือกเพราะผู้วิจัยสามารถเลือกได้โดยอิสระ ในกรณีที่มีคุณสมบัติเฉพาะเหมือนกัน ข้อ 7. คำตอบคือ ระดับ nominal หรือ ordinal เพราะค่าของตัวแปรในสองระดับดังกล่าว ไม่สามารถบอกหรือแสดงปริมาณช่วงห่างที่เท่า ๆ กันได้ ในทางสถิติถือว่านำมาคำนวณโดยการบวกลบคูณหารไม่ได้ ทำได้แต่นับความถี่ (จำนวน) เท่านั้น ดังนั้นเมื่อต้องการทดสอบความสัมพันธ์ตัวสถิติที่เหมาะสมกับระดับข้อมูลคือ ไคสแควร์ จะตัวที่ 1 หรือ ตัวที่ 2 อยู่ในระดับใดก็ได้ในสองระดับนี้เท่านั้น ข้อ 8. คำตอบนี้ตอบโดยถือว่าข้อมูลเป็นไปตามข้อตกลงเบื้องต้น (ตามสไลด์ล่างหน้า 36 ในเอกสารประกอบการสอนของอาจารย์สุจิตรา เวลาตอบจริงไม่ต้องเขียนอย่างนี้หรอก ใส่ไปเลย) ตัวแปรต้น อยู่ระดับ nominal หรือ ordinal ตัวแปรตาม อยู่ในระดับ interval หรือ ratio ข้อ 9. คำตอบคือ interval หรือ ratio ต้องเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งหรือสลับกันก็ได้ ได้หมด (ให้สังเกตว่าจะตรงข้ามกับคำตอบข้อ 7 ซึ่งเป็นเรื่องการวัดความสัมพันธ์เช่นเดียวกัน) ข้อ 10. คำตอบคือ ถ้าเรากำหนดระดับนัยสำคัญ (alpha: แอลฟ่า) ที่ .05 เราจะปฏิเสธ Ho เนื่องจากว่า ค่าความน่าจะเป็น (p) เท่ากับ .01 ซึ่งมีค่าน้อยกว่า .05 (หมายความว่าในการไปเก็บตัวอย่างมาวิเคราะห์แล้วค่าความน่าจะเป็นเท่ากับ .01 คือโอกาสความผิดพลาดในการสรุปผลของเรามีเพียง 1% ในขณะที่เรายอมรับความผิดพลาดถึง 5% เราจึงต้องปฏิเสธ Ho คือสรุปว่าคำกล่าวที่เขียนไว้ใน Ho นั้นไม่ถูกต้อง เรื่องนี้จะใช้อธิบายด้วยตัวอักษรอาจเข้าใจยากสักนิดนึง) ข้อ 11. นี้ถือว่าเป็นข้อที่ยากที่สุดในบรรดาข้อสอบทั้งหมด เพราะต้องการความเข้าใจหลายส่วนมาก จึงจะตอบได้ถูกต้อง โจทย์บอกว่าใช้สถิติ t test ที่ระดับนัยสำคัญ .05 (แอลฟ่า .05 สังเกตุมั้ยว่าข้อ 10 ไม่ได้บอก เพราะฉะนั้นในการตอบข้อ 10 ต้องระบุ ระดับนัยสำคัญหรือแอลฟ่าด้วย) ค่า t คำนวณจากข้อมูลได้ 2.03 ถ้ามีข้อมูลเท่านี้ ไม่สามารถสรุปผลได้ (ตอบแค่นี้ก็จะน่าจะได้คะแนน เพราะในข้อสอบไม่ได้ให้ตาราง t มา) แต่เราต้องตอบแบบรู้เรื่องดี ต้องตอบอาจารย์ว่า ค่าสถิติ t ที่คำนวณได้ 2.03 นั้นที่ องศาอิสระ (degree of freedom: df) เท่าไหร่ คือมันเกี่ยวข้องกับจำนวนกลุ่มตัวอย่างจึงจะไปเปิดตาราง t เพื่อหาค่าวิกฤตมาเปรียบเทียบกับ t คำนวณ จึงไม่สามารถสรุปผลได้ เพราะถ้ากลุ่มตัวอย่างน้อย ๆ ค่า t 2.03 อาจไม่มีนัยสำคัญได้ (ปฏิเสธ Ho) ข้อ 12. ตอบแบบง่าย ๆ การยอมรับ Ho คือในการทดสอบสมมติฐานครั้งนี้ หลักฐานต่าง ๆ ที่นำมาทดสอบด้วยค่าสถิติแล้วนำมาเปรียบเทียบกับค่าวิกฤติ ตามระดับนัยสำคัญที่ตั้งขึ้นแล้ว ผลที่ได้ (ค่าสถิติทดสอบ < ค่าวิกฤติ หรือ p value > alpha กรณีใดกรณีหนึ่ง) ไม่สามารถที่จะปฏิเสธ Ho ได้ จึงต้องยอมรับ Ho ตอบแบบยาก ต้องตอบว่า การยอมรับ Ho หมายความว่าในการทดสอบด้วยค่าสถิติครั้งนี้ (ครั้งนี้เท่านั้น) ด้วยค่าตัวแปรได้มาอย่างนี้ จำนวนตัวอย่างขนาดนี้ ค่าสถิติทดสอบ t, F, r หรือ chi-square คำนวณได้มาเท่านี้ ทำให้เมื่อแปลงค่าสถิตินี้เป็นค่าความน่าจะเป็น (p value) แล้วมีมากเกินกว่าค่าความน่าจะเป็นในการสรุปผลที่ผู้ทำการทดสอบสามารถยอมรับความผิดพลาดในการสรุปผลได้ โดยกำหนดไว้ล่วงหน้า (เรียกว่าระดับนัยสำคัญ: แอลฟ่า) ในกรณีนี้ผู้ทดสอบสมมติฐานจึงต้องยอมรับ Ho สรุปคือ p value > alpha ที่กำหนดไว้ เพราะฉะนั้นในการสรุปผลต้องยอมรับ Ho แต่การยอมรับ Ho นี้อาจก่อให้เกิดความผิดพลาดในการสรุปผล ในทางสถิติเรียกว่า type II error คือการยอมรับในสิ่งที่ผิด ข้อ 13. ก็ตรงข้ามกับข้อ 12. ถ้าเข้าใจข้อ 12 แล้ว การปฏิเสธ Ho สรุปก็คือ p value < alpha ที่กำหนดไว้ เพราะฉะนั้นในการสรุปผลต้องปฏิเสธ Ho แต่ก็อาจจะเกิดความผิดพลาดอีกแบบหนึ่งคือการที่ไปปฏิเสธ Ho ทั้ง ๆ ที่ Ho เป็นจริง ในทางสถิติเรียกว่า type I error คือไปปฏิเสธในสิ่งที่ถูกต้องอยู่แล้ว

วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

สรุประเบียบวิจัย รศ.6020

การวิจัยเชิงปริมาณ โลกทัศน์และกระบวน ทศั น์ ประจักษ์วาท (Positivism) ตรรกะ นิรนัย (deductive) การออกแบบการวิจัย -เน้นการวิจัยเชิงตัดขวาง (Cross-Sectional design) -ไม่ให้ความสาํคัญกบัมิติทางประวัติศาสตร์ -ใช้การวิจัยแบบทดลองแท้จริง -ใช้การวิจัยแบบก่งึทดลอง -ใช้การวิจัยแบบไม่ทดลอง ลักษณะข้อมูล แจงนับได้ ข้อมูลสถิติต่าง ๆ ลักษณะโครงการ ทาํในลักษณะโครงการขนาดใหญ่ได้ วัตถุประสงค์ เน้นการหาความถูกต้องของส่ิงท่ีปรากฎอยู่เป็น รปู ธรรม ไม่เน้นส่งิ ท่เี ป็นนามธรรม ความร้สู กึ นึกคิด วิธกีารเกบ็ข้อมูล ให้ความสําคัญกับการเก็บข้อมูลด้วยการใช้ แบบสอบถามเป็นท้ังวิทยาศาสตร์บริสุทธ์ิและศิลป์ รัฐประศาสนศาสตร์ จะมีความเป็น วิชาชีพหรือไม่ โดยธรรมชาติของรัฐประศาสนศาสตร์ เป็นวิชาชีพ แต่มีความ แตกต่างจากวิชาชีพแขนงอ่ืน ๆ ตรงท่แี ม้นไม่ผ่านการศึกษาวิชาการบริหาร ไม่มีการจัดต้ังสถาบันและจรรยาบรรณท่บี ังคับใช้โดยตรง แต่ผู้บริหารท่จี ะ ประสบความสาํ เร็จ ต้องเป็นผู้มีฝีมือ ความรู้ความสามารถ ทักษะในการ ทาํ งาน มีความเช่ียวชาญ มีประสบการณ์ มีคุณธรรมจริยธรรม จิตสาํ นึกท่จี ะ ทาํ งาน เพ่ือประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน จึงจัดได้ว่า รัฐ ประศาสนศาสตร์ มีความเป็นก่งึ วิชาชีพ (Quasi Professional) (พิทยา บวร วัฒนา, 2527 : 70) ในฐานะความเป็นศาสตร์ประยุกต์และก่งึ วิชาชีพ รัฐประศาสนศาสตร์ มี ความจาํ เป็นต้องแสวงหาและสะสมองค์ความรู้ เพ่ือนาํ มาพัฒนา และส่งั สม ถ่ายทอดความรู้อย่างเป็นระบบ ซ่ึงหมายถึงว่า ต้องมีการค้นคว้าความรู้ ความจริง ด้วยวิธีการท่มี ีระบบ มีเหตุมีผลเช่ือถือได้ ซ่ึงการดาํ เนินกิจกรรม ตามแนวทางดังกล่าว เรียกว่า การวิจัย (Research) รัฐประศาสนศาสตร์เอง มีกําเนิดมาจาก ผลงานวิจัยของเทศบาลนครนิวยอร์ค ท่ีได้พบอุปสรรค สาํคัญของการบริหารงานสาธารณะการงบประมาณและการบริหารภาครัฐ อ่ืน ๆ สํานักวิจัยของเทศบาลนิวยอร์ค จึงได้ขอความร่วมมือไปทาง มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย(Columbia University)ทาํการจัดต้ังMaster of Public Administration Program เพ่ือให้การศึกษา การบริหารงานภาครัฐ และต่อมา Maxwell School of citizenship and public affairs at Syracuse University ได้ มีการพัฒนาหลักสูตร MPA ตามมาในเวลาท่ีใกล้เคียง (RaymondWCoxIII,1997:7อ้างถึงโดยบุญทนั ดอกไทสง2553: 2) การแสวงหาความรู้ เพ่ือให้ข้อเท็จจริงเก่ียวกับปรากฎการณ์ทางรัฐ ประศาสนศาสตร์ มีแบบแผนทางวิทยาศาสตร์ จึงต้องอ้างอิงระเบียบวิธีวิจัย ทางสงัคมเข้ามาประยุกต์ใช้ การวิจัยทางรัฐประศาสนศาสตร์ สามารถแบ่งตามวัตถุประสงค์ ได้ดังน้ี 1) การวิจัยพ้ืนฐาน (Basic Research) 2) การวิจัยประยุกต์ (Applied Research) นอกจากแบ่งตามลักษณะของการวิจัย ได้แก่ 1) การวิจัยเชิงพรรณา (Descriptive Research) 2) การวิจัยเชิงอธบิ าย (Explainary Research) และถ้าแบ่งตามการจัดเกบ็ ข้อมูลจะสามารถแบ่งประเภทของการวิจัย ได้เป็น 1) การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และ 2) การวิจัยเชิงคุณภาพ(QualitativeResearch) รัฐประศาสนศาสตร์จัดเป็นศาสตร์ประยุกต์ทางสังคม จึงสามารถใช้ ระเบียบวิธีวิจัย ทางสงั คมศาสตร์มาดําเนินการแสวงหาความร้คู วามจริงได้ การวิจัยทางสงั คมศาสตร์ มีธรรมชาติของการวิจัย ดังน้ ี ธรรมชาติของการวิจัย (Nature of Research) ซ่ึงนิด้า ชูโต (2540:1) ได้กล่าวถึงธรรมชาติของการวิจัยว่า มีลักษณะใหญ่ ๆ 4 ประการ คือ (1)มีหลักฐานยืนยัน (evidence) ซ่ึงสามารถยอมรับได้ โดยอาจเป็น หลักฐานเชิงทฤษฎีหรือหลักฐานเชิงประจักษ์ (empirical) อาทิ คะแนนท่ไี ด้ จากการสมั ภาษณ์ แบบสงั เกตแบบสอบถาม ซ่งึ สามารถยืนยันตรวจสอบได้ (2)มีความตรง (Validity) ประกอบด้วยความตรงภายใน (Internal Validity) คือ ความตรงของผลสรุปและการตีความหมายของข้อมูล กระบวนการท่ถี ูกต้อง และความตรงภายนอก (external validity) เป็นความ ตรงจาการอ้างองิ ผลการวิจัย ไปส่ปู ระชากรเป้ าหมาย (3)มีความเช่ือถือได้ (reliability) หมายถึง การวิจัยน้ันต้องสามารถตรวจ ซํ้าได้ (replicable) โดยนักวิจัยคนอ่ืน ๆ ในทุกข้ันตอน ภายใต้สภาพ เดียวกนั หรือคล้ายคลึงกนั ผลการวิจัยควรให้ผลตรงกนัหรือใกล้เคียงกนั (4) มีกระบวนการท่ีเป็นระบบ (systematic) โดยมีลําดับข้ันตอนของ กิจกรรมสืบเน่ืองเช่ือมโยงกันเร่ิมจากปัญหา การตรวจสอบข้อความรู้ การ เกบ็ข้อมูลการวิเคราะห์ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ กระบวนทัศนของการวิจัย (Research paradigm) ซ่ึงเป็ นแนวทางท่ี นักวิชาการใช้เป็นแนวทางความคิด กาํ หนดวิธีการท่ใี ช้ในการแก้ปัญหา และ วิธกี ารท่ใี ช้ในการวิจัย (นิด้า ชูโต, 2545; Merriam, 1998 : 4-5) (1)กระบวนทศั นคติการวิจัยเชิงปฏิบัติฐานนิยม(Positivism)เป็นแนวคิด จากการแสวงหาความจริงทางวิทยาศาสตร์กายภาพ เน้นการแสวงหาความ จริงเชิงสาเหตุ (Perusal Effect) ด้วยการวิเคราะห์ จากหลักฐานเชิงประจักษ์ เป็นการเกบ็ข้อมูลการสงัเกตหรือการทดลองการใช้ตัวแบบทางคณิตศาสตร์ เป็นเคร่ืองมือในการวิเคราะห์ โดยมีเป้ าหมาย เพ่ือสร้างความสัมพันธ์เชิง สาเหตุ 1.การเลือกสนาม - การเตรียมตัวเข้าสนาม, อุปกรณ์วิจัย, การแต่งกาย, อาหารการกิน ที่พัก ฯลฯ) 2.การวางแผนการเก็บข้อมูล (การเลือกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (key informants) สังเกต ฯลฯ) 3. การแนะนำตัวต่อชุมชน หรือหน่วยงาน/องค์กร 4.การสร้างความสัมพันธ์ผู้คนที่อยู่ในสนามหรือปรากฏการณ์ ฯลฯ งานวิจัยเชิงคุณภาพกับทฤษฎีและกรอบแนวคิด งานวิจัยเชิงคุณภาพไม่จำเป็นต้องมีทฤษฎีจริงหรือ? -ต้องสำรวจกรอบแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างกว้างขวางเพื่อนำมาช่วยในการตั้งคำถาม -ต้องใช้ทฤษฎีเป็นแผนที่ในการศึกษา โดยสร้างสมมติฐานชั่วคราว -ตรวจสอบข้อมูลกับกรอบแนวคิดกลับไปกลับมาระหว่างการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล เทคนิคการวิจัยเชิงคุณภาพ การสังเกต -ความหมายและความสำคัญของการสังเกต -ประเภทของการสังเกต (การสังเกตแบบมีส่วนร่วม แบบไม่มีส่วนร่วม) -ปัญหาของการสังเกต -ข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบของการสังเกต -ตัวอย่างงานศึกษาด้วยการสังเกต การสังเกต (observation) • การสังเกต คือ “การเฝ้าดูอย่างเอาใจใส่ สังเกตสิ่งที่กำหนดไว้ และพิจารณาอย่างมีระเบียบ และเป็นการเฝ้าดูแลสิ่งที่ปรากฏขึ้น เพื่อหาความสัมพันธ์ของสิ่งที่เกิดขึ้น หรือหาว่าสิ่งใดเป็นเหตุ เป็นผลของปรากฏการณ์ดังกล่าว” ประเภทของการสังเกต 1.การสังเกตแบบมีส่วนร่วม คือ การนำตัวนักวิจัยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของปรากการณ์ (เช่น การเข้าไปอยู่ในชุมชนที่เราศึกษา เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการเคลื่อนไหว ฯลฯ) 2.การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม คือ นักวิจัยไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ (เช่น แพทย์สังเกตอาการคนไข้จากยาที่ทดลอง ฯลฯ) สิ่งที่ต้องทำในใช้วิธีการสังเกต • การสำรวจกรอบแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมากำหนดเป็นสมมติฐานชั่วคราว • การจดบันทึกข้อมูลภาคสนามอย่างละเอียด • การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสังเกต • การเก็บข้อมูลด้วยการสังเกตเพิ่มเติม หรือตรวจสอบข้อมูลด้วยวิธีการอื่น ข้อได้เปรียบของการใช้วิธีการสังเกต 1.ได้ข้อมูลที่ผู้ถูกศึกษาไม่ได้บอกให้ฟัง 2.ได้ข้อมูลที่ผู้ถูกศึกษาไม่อยากเล่าให้ฟัง 3.ได้หลักฐานเพิ่มเติมจากการเก็บข้อมูลด้วยวิธีการอื่น เช่น การสัมภาษณ์ 4.ได้ข้อมูลทันทีโดยไม่ต้องผ่านการบอกเล่า ข้อเสียเปรียบหรือควรระวัง 1.ไม่สามารถใช้ได้กับปรากฏการณ์ทางสังคมที่ไม่เกิดขึ้นในระยะเวลาที่ศึกษา (เช่น การปฏิวัติ การเลือกตั้ง พิธีบรมราชาภิเษก ฯลฯ) 2.ไม่สามารถศึกษาข้อมูลที่เป็นเรื่องต้องห้าม เช่น เรื่องส่วนตัว พิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ) 3.ไม่สามารถได้ข้อมูลครบถ้วนทุกแง่มุม เพราะผู้สังเกตไม่สามารถอยู่ในทุกแง่มุมของเหตุการณ์ได้ การสัมภาษณ์ ประเภทของการสัมภาษณ์ 1.การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (สำหรับการวิจัยเชิงปริมาณ) 2.การสัมภาษณ์สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ : การสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ • การสัมภาษณ์แบบเปิดกว้างไม่จำกัดคำตอบ • การสัมภาษณ์แบบมีจุดความสนใจเฉพาะ หรือการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก ผู้ให้สัมภาษณ์ (Interviewee) • ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informant) คือใคร -เป็นผู้ที่มีความรู้ หรือมีประสบการณ์ในเรื่องที่ศึกษา “รู้เรื่องรู้ราว” -มีความเต็มใจที่จะพูดคุยด้วย -ต้องมีความหลากหลายของผู้ให้ข้อมูลสำคัญ -เลือกอย่างเจาะจงโดยคำนึงถึงจุดมุ่งหมายของการวิจัย ขั้นตอนของการสัมภาษณ์ • การเตรียมสัมภาษณ์ -การวางแผนสัมภาษณ์คำถาม ข้อมูลพื้นฐานของผู้ถูกสัมภาษณ์ อุปกรณ์จดบันทึก การนัดหมาย ฯลฯ) • ขั้นตอนการสัมภาษณ์ -แนะนำตัว การสร้างบรรยากาศเป็นกันเอง การบอกวัตถุประสงค์ ตรงไปตรงมากับผู้ให้สัมภาษณ์ เช่น ถ้าอัดเทปต้องบอกล่วงหน้า ฯลฯ สิ่งที่ควรคำนึงในการสัมภาษณ์ • ถามคำถามแบบเปิดกว้างเสมือนหนึ่งผู้วิจัยไม่มีความรู้ในเรื่องที่สัมภาษณ์ • ทำการบ้านก่อนที่จะสัมภาษณ์ /เตรียมความพื้นฐานเกี่ยวกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ • การเตรียมแนวคำถามเอาไว้เพื่อเป็นแผนที่ในการซักถาม -แนวคำถามเหมือนแผนที่ในการขับรถ เพื่อไปถึงจุดหมาย เทคนิคการสัมภาษณ์ -การแนะนำตัว -การเลือกสถานที่สัมภาษณ์ -การบันทึกคำตอบ -ภาษาที่ใช้ในการสัมภาษณ์ มนุษยสัมพันธ์ -จรรยาบรรณในการสัมภาษณ์ -แบบสอบถามและการตั้งคำถาม ข้อดีข้อเสียของการสัมภาษณ์ ข้อดี 1. สามารถใช้กับคนทุกระดับการศึกษา 2.ช่วยแก้ปัญหาในการได้รับแบบสอบถามคืนน้อย 3.สามารถเข้าใจถึงความรู้สึกนึกคิด ของผู้ให้สัมภาษณ์ได้ระดับหนึ่งฯลฯ ปัญหาในการสัมภาษณ์ 1.เปลืองค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก 2.ความน่าเชื่อถือของข้อมูลจะขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้สัมภาษณ์ และความเต็มใจของผู้ถูกสัมภาษณ์ (เช่น กรณีการวิจัยเรื่องการขายบริการ การซื้อเสียงเลือกตั้ง การทุจริตคอรัปชัน ฯลฯ) กลุ่มเสวนา(Focus Group) Focus Group Check List -Topic -Discussion Guide -Personnel: Moderator/Note Taking/Manager -Site of Group Discussion -Tape Recorder -Discussion Aids (Snacks) -Participants -Gifts Before the Session • Theory & Literatures • Discussion Guide • Pretest the Discussion Guide and Moderator Orientation • Contacting Community & Appointment After the Session • Tape & Note transcripts • Transcripts Reading & Data Analysis • Changing Participants & Site • Individual Interview for More Information • Report Writing แหล่งข้อมูลเอกสาร • มีเอกสารอะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง สำคัญงานวิจัยที่ทำ -เอกสารชั้นต้น (แผนงาน/โครงการ รายงานผลการดำเนินงาน รายงานการประเมินผล ฯลฯ) -ข้อมูลตัวเลข สถิติที่เกี่ยวข้อง -งานวิจัย บทความ บทสัมภาษณ์ ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องฯลฯ • ตัวอย่างการวิจัยโดยใช้แห่งเอกสาร การตรวจสอบและการวิเคราะห์ข้อมูล การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของวิจัยเชิงคุณภาพ ความแตกต่างกับงานวิจัยเชิงปริมาณ • งานวิจัยเชิงปริมาณใช้สถิติตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล -การสุ่มตัวอย่างเพื่ออนุมานไปสู่ข้อสรุปของประชากร -การตรวจสอบความน่าเชื่อถือด้วยการสร้างเครื่องมือการวิจัย เช่น การวัดความตรง ความเที่ยง ฯลฯ ความน่าเชื่อถือของงานวิจัยเชิงคุณภาพ 1. การระบุวิธีการศึกษาอย่างละเอียดเพื่อให้เห็นถึง: -ที่มาของแหล่งข้อมูล/วิธีการเก็บข้อมูลที่หลากหลาย รอบด้าน -การอยู่ในสนามที่มีเวลายาวนานมากพอที่จะสะท้อนความเป็น “คนใน” • ดูตัวอย่าง งานวิจัยเรื่อง “นางงามตู้กระจก” “ชีวิตและจุดจบสลัมแห่งหนึ่ง” “การเมืองบนท้องถนนฯ” ฯลฯ 2. การพรรณนานาข้อมูลอย่างละละเอียด ทุกแง่ทุกมุมของปรากฏการณ์ที่ศึกษา -เพื่อทำให้ผู้อ่านเห็นถึงหลักฐาน ข้อมูล ที่ใช้ในการสร้างข้อสรุปที่มีเหตุผลสนับสนุนที่เพียงพอ 3. การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล : การตรวจสอบข้อมูลสามเส้า (data triangulation) • การตรวจสอบด้านเวลา สถานที่ และบุคคลผู้ให้ข้อมูลที่แตกต่างกัน • การตรวจสอบสามเส้าด้านผู้วิจัย (ตรวจสอบโดยการเปลี่ยนตัวผู้เก็บข้อมูล) • การตรวจสอบสามเส้าด้านวิธีการรวบรวมข้อมูล (methodological triangulation) (สัมภาษณ์ สังเกต เอกสาร ฯลฯ) การวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูล • วัตถุประสงคือ การตอบโจทย์ คำถามวิจัย (วัตถุประสงค์ของการวิจัย) • ควรกำหนดเค้าโครงการวิเคราะห์ข้อมูล ตามวัตถุประสงค์ วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล 1.วางเค้าโครงการวิเคราะห์โดยกำหนดตามประเด็นย่อยๆ ในวัตถุประสงค์ 2. การพรรณนาข้อมูลอย่างละเอียด โดยอาศัยหลักฐานจากการสัมภาษณ์ การสังเกต เอกสาร ฯลฯ 3.การสร้างข้อสรุปจากการพรรณนาข้อมูลโดยอาศัยการวิเคราะห์เชื่อมโยงตรรกะ เหตุผล และการอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่ได้จากการศึกษา รวมทั้งอาศัยกรอบแนวคิดทฤษฎี/งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิเคราะห์และการนำเสนอข้อมูล(บทที่ 4) · วัตถุประสงค์ของการนำเสนอคือ การตอบคำถามวิจัย /วัตถุประสงค์ของงานวิจัย · เค้าโครงการนำเสนอข้อมูล : ควรกำหนดตามประเด็นในวัตถุประสงค์ วิธีการนำเสนอ · การพรรณนาข้อมูลอย่างละเอียดในประเด็นที่วิเคราะห์ ระบุแหล่งที่มาข้อมูล/การอ้างอิงแหล่งข้อมูล บุคคลที่ให้ข้อมูลที่หลากหลาย ฯลฯ · การสร้างข้อสรุปจากข้อมูล หลักฐานที่ได้จากการพรรณนาเพื่อตอบโจทย์/คำถามวิจัย · (ดูตัวอย่างงานวิจัยต่างๆ) บทที่ 5 บทสรุปและข้อเสนอแนะ · ทบทวนโจทย์คำถามวิจัย · สรุปข้อค้นพบตามวัตถุประสงค์เป็นข้อๆ หรือประเด็นๆ · การอภิปรายผล · ข้อเสนอแนะ การอภิปรายผล · การวิเคราะห์ อธิบายข้อค้นพบเพื่อหาสาเหตุ ที่มาของปรากฏการณ์ที่ค้นพบ · การถกเถียงข้อค้นพบกับงานวิจัยชิ้นอื่นๆ ที่ทำมาก่อนว่า มีข้อค้นพบที่เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร · การถกเถียงในเชิงกรอบแนวคิด ทฤษฎี ข้อเสนอแนะ · ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติการ · ข้อเสนอแนะสำหรับงานวิจัยครั้งต่อไป-การวางแผนการเก็บข้อมูล -การวิเคราะห์ข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ฯลฯ เทคนิคการวิจัยเชิงคุณภาพ • ก่อนการเก็บข้อมูล – การเตรียมตัวทำงานภาคสนาม – ทฤษฎี กรอบแนวคิดกับงานวิจัยเชิงคุณภาพ วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ – การสังเกต – การสัมภาษณ์ – การเก็บข้อมูลด้วยวิธีการจัดกลุ่มเสวนา – การใช้แหล่งข้อมูลเอกสาร การเตรียมตัวทำงานภาคสนาม 1.การเลือกสนาม - การเตรียมตัวเข้าสนาม, อุปกรณ์วิจัย, การแต่งกาย, อาหารการกิน ที่พัก ฯลฯ) 2.การวางแผนการเก็บข้อมูล (การเลือกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (key informants) สังเกต ฯลฯ) 3. การแนะนำตัวต่อชุมชน หรือหน่วยงาน/องค์กร 4.การสร้างความสัมพันธ์ผู้คนที่อยู่ในสนามหรือปรากฏการณ์ ฯลฯ งานวิจัยเชิงคุณภาพกับทฤษฎีและกรอบแนวคิด งานวิจัยเชิงคุณภาพไม่จำเป็นต้องมีทฤษฎีจริงหรือ? -ต้องสำรวจกรอบแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างกว้างขวางเพื่อนำมาช่วยในการตั้งคำถาม -ต้องใช้ทฤษฎีเป็นแผนที่ในการศึกษา โดยสร้างสมมติฐานชั่วคราว -ตรวจสอบข้อมูลกับกรอบแนวคิดกลับไปกลับมาระหว่างการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล เทคนิคการวิจัยเชิงคุณภาพ การสังเกต -ความหมายและความสำคัญของการสังเกต -ประเภทของการสังเกต (การสังเกตแบบมีส่วนร่วม แบบไม่มีส่วนร่วม) -ปัญหาของการสังเกต -ข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบของการสังเกต -ตัวอย่างงานศึกษาด้วยการสังเกต การสังเกต (observation) • การสังเกต คือ “การเฝ้าดูอย่างเอาใจใส่ สังเกตสิ่งที่กำหนดไว้ และพิจารณาอย่างมีระเบียบ และเป็นการเฝ้าดูแลสิ่งที่ปรากฏขึ้น เพื่อหาความสัมพันธ์ของสิ่งที่เกิดขึ้น หรือหาว่าสิ่งใดเป็นเหตุ เป็นผลของปรากฏการณ์ดังกล่าว” ประเภทของการสังเกต 1.การสังเกตแบบมีส่วนร่วม คือ การนำตัวนักวิจัยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของปรากการณ์ (เช่น การเข้าไปอยู่ในชุมชนที่เราศึกษา เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการเคลื่อนไหว ฯลฯ) 2.การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม คือ นักวิจัยไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ (เช่น แพทย์สังเกตอาการคนไข้จากยาที่ทดลอง ฯลฯ) สิ่งที่ต้องทำในใช้วิธีการสังเกต • การสำรวจกรอบแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมากำหนดเป็นสมมติฐานชั่วคราว • การจดบันทึกข้อมูลภาคสนามอย่างละเอียด • การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสังเกต • การเก็บข้อมูลด้วยการสังเกตเพิ่มเติม หรือตรวจสอบข้อมูลด้วยวิธีการอื่น ข้อได้เปรียบของการใช้วิธีการสังเกต 1.ได้ข้อมูลที่ผู้ถูกศึกษาไม่ได้บอกให้ฟัง 2.ได้ข้อมูลที่ผู้ถูกศึกษาไม่อยากเล่าให้ฟัง 3.ได้หลักฐานเพิ่มเติมจากการเก็บข้อมูลด้วยวิธีการอื่น เช่น การสัมภาษณ์ 4.ได้ข้อมูลทันทีโดยไม่ต้องผ่านการบอกเล่า ข้อเสียเปรียบหรือควรระวัง 1.ไม่สามารถใช้ได้กับปรากฏการณ์ทางสังคมที่ไม่เกิดขึ้นในระยะเวลาที่ศึกษา (เช่น การปฏิวัติ การเลือกตั้ง พิธีบรมราชาภิเษก ฯลฯ) 2.ไม่สามารถศึกษาข้อมูลที่เป็นเรื่องต้องห้าม เช่น เรื่องส่วนตัว พิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ) 3.ไม่สามารถได้ข้อมูลครบถ้วนทุกแง่มุม เพราะผู้สังเกตไม่สามารถอยู่ในทุกแง่มุมของเหตุการณ์ได้ การสัมภาษณ์ ประเภทของการสัมภาษณ์ 1.การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (สำหรับการวิจัยเชิงปริมาณ) 2.การสัมภาษณ์สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ : การสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ • การสัมภาษณ์แบบเปิดกว้างไม่จำกัดคำตอบ • การสัมภาษณ์แบบมีจุดความสนใจเฉพาะ หรือการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก ผู้ให้สัมภาษณ์ (Interviewee) • ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informant) คือใคร -เป็นผู้ที่มีความรู้ หรือมีประสบการณ์ในเรื่องที่ศึกษา “รู้เรื่องรู้ราว” -มีความเต็มใจที่จะพูดคุยด้วย -ต้องมีความหลากหลายของผู้ให้ข้อมูลสำคัญ -เลือกอย่างเจาะจงโดยคำนึงถึงจุดมุ่งหมายของการวิจัย ขั้นตอนของการสัมภาษณ์ • การเตรียมสัมภาษณ์ -การวางแผนสัมภาษณ์คำถาม ข้อมูลพื้นฐานของผู้ถูกสัมภาษณ์ อุปกรณ์จดบันทึก การนัดหมาย ฯลฯ) • ขั้นตอนการสัมภาษณ์ -แนะนำตัว การสร้างบรรยากาศเป็นกันเอง การบอกวัตถุประสงค์ ตรงไปตรงมากับผู้ให้สัมภาษณ์ เช่น ถ้าอัดเทปต้องบอกล่วงหน้า ฯลฯ สิ่งที่ควรคำนึงในการสัมภาษณ์ • ถามคำถามแบบเปิดกว้างเสมือนหนึ่งผู้วิจัยไม่มีความรู้ในเรื่องที่สัมภาษณ์ • ทำการบ้านก่อนที่จะสัมภาษณ์ /เตรียมความพื้นฐานเกี่ยวกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ • การเตรียมแนวคำถามเอาไว้เพื่อเป็นแผนที่ในการซักถาม -แนวคำถามเหมือนแผนที่ในการขับรถ เพื่อไปถึงจุดหมาย เทคนิคการสัมภาษณ์ -การแนะนำตัว -การเลือกสถานที่สัมภาษณ์ -การบันทึกคำตอบ -ภาษาที่ใช้ในการสัมภาษณ์ มนุษยสัมพันธ์ -จรรยาบรรณในการสัมภาษณ์ -แบบสอบถามและการตั้งคำถาม ข้อดีข้อเสียของการสัมภาษณ์ ข้อดี 1. สามารถใช้กับคนทุกระดับการศึกษา 2.ช่วยแก้ปัญหาในการได้รับแบบสอบถามคืนน้อย 3.สามารถเข้าใจถึงความรู้สึกนึกคิด ของผู้ให้สัมภาษณ์ได้ระดับหนึ่งฯลฯ ปัญหาในการสัมภาษณ์ 1.เปลืองค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก 2.ความน่าเชื่อถือของข้อมูลจะขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้สัมภาษณ์ และความเต็มใจของผู้ถูกสัมภาษณ์ (เช่น กรณีการวิจัยเรื่องการขายบริการ การซื้อเสียงเลือกตั้ง การทุจริตคอรัปชัน ฯลฯ) กลุ่มเสวนา(Focus Group) Focus Group Check List -Topic -Discussion Guide -Personnel: Moderator/Note Taking/Manager -Site of Group Discussion -Tape Recorder -Discussion Aids (Snacks) -Participants -Gifts Before the Session • Theory & Literatures • Discussion Guide • Pretest the Discussion Guide and Moderator Orientation • Contacting Community & Appointment After the Session • Tape & Note transcripts • Transcripts Reading & Data Analysis • Changing Participants & Site • Individual Interview for More Information • Report Writing แหล่งข้อมูลเอกสาร • มีเอกสารอะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง สำคัญงานวิจัยที่ทำ -เอกสารชั้นต้น (แผนงาน/โครงการ รายงานผลการดำเนินงาน รายงานการประเมินผล ฯลฯ) -ข้อมูลตัวเลข สถิติที่เกี่ยวข้อง -งานวิจัย บทความ บทสัมภาษณ์ ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องฯลฯ • ตัวอย่างการวิจัยโดยใช้แห่งเอกสาร การตรวจสอบและการวิเคราะห์ข้อมูล การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของวิจัยเชิงคุณภาพ ความแตกต่างกับงานวิจัยเชิงปริมาณ • งานวิจัยเชิงปริมาณใช้สถิติตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล -การสุ่มตัวอย่างเพื่ออนุมานไปสู่ข้อสรุปของประชากร -การตรวจสอบความน่าเชื่อถือด้วยการสร้างเครื่องมือการวิจัย เช่น การวัดความตรง ความเที่ยง ฯลฯ ความน่าเชื่อถือของงานวิจัยเชิงคุณภาพ 1. การระบุวิธีการศึกษาอย่างละเอียดเพื่อให้เห็นถึง: -ที่มาของแหล่งข้อมูล/วิธีการเก็บข้อมูลที่หลากหลาย รอบด้าน -การอยู่ในสนามที่มีเวลายาวนานมากพอที่จะสะท้อนความเป็น “คนใน” • ดูตัวอย่าง งานวิจัยเรื่อง “นางงามตู้กระจก” “ชีวิตและจุดจบสลัมแห่งหนึ่ง” “การเมืองบนท้องถนนฯ” ฯลฯ 2. การพรรณนานาข้อมูลอย่างละละเอียด ทุกแง่ทุกมุมของปรากฏการณ์ที่ศึกษา -เพื่อทำให้ผู้อ่านเห็นถึงหลักฐาน ข้อมูล ที่ใช้ในการสร้างข้อสรุปที่มีเหตุผลสนับสนุนที่เพียงพอ 3. การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล : การตรวจสอบข้อมูลสามเส้า (data triangulation) • การตรวจสอบด้านเวลา สถานที่ และบุคคลผู้ให้ข้อมูลที่แตกต่างกัน • การตรวจสอบสามเส้าด้านผู้วิจัย (ตรวจสอบโดยการเปลี่ยนตัวผู้เก็บข้อมูล) • การตรวจสอบสามเส้าด้านวิธีการรวบรวมข้อมูล (methodological triangulation) (สัมภาษณ์ สังเกต เอกสาร ฯลฯ) การวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูล • วัตถุประสงคือ การตอบโจทย์ คำถามวิจัย (วัตถุประสงค์ของการวิจัย) • ควรกำหนดเค้าโครงการวิเคราะห์ข้อมูล ตามวัตถุประสงค์ วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล 1.วางเค้าโครงการวิเคราะห์โดยกำหนดตามประเด็นย่อยๆ ในวัตถุประสงค์ 2. การพรรณนาข้อมูลอย่างละเอียด โดยอาศัยหลักฐานจากการสัมภาษณ์ การสังเกต เอกสาร ฯลฯ 3.การสร้างข้อสรุปจากการพรรณนาข้อมูลโดยอาศัยการวิเคราะห์เชื่อมโยงตรรกะ เหตุผล และการอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่ได้จากการศึกษา รวมทั้งอาศัยกรอบแนวคิดทฤษฎี/งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิเคราะห์และการนำเสนอข้อมูล(บทที่ 4) · วัตถุประสงค์ของการนำเสนอคือ การตอบคำถามวิจัย /วัตถุประสงค์ของงานวิจัย · เค้าโครงการนำเสนอข้อมูล : ควรกำหนดตามประเด็นในวัตถุประสงค์ วิธีการนำเสนอ · การพรรณนาข้อมูลอย่างละเอียดในประเด็นที่วิเคราะห์ ระบุแหล่งที่มาข้อมูล/การอ้างอิงแหล่งข้อมูล บุคคลที่ให้ข้อมูลที่หลากหลาย ฯลฯ · การสร้างข้อสรุปจากข้อมูล หลักฐานที่ได้จากการพรรณนาเพื่อตอบโจทย์/คำถามวิจัย · (ดูตัวอย่างงานวิจัยต่างๆ) บทที่ 5 บทสรุปและข้อเสนอแนะ · ทบทวนโจทย์คำถามวิจัย · สรุปข้อค้นพบตามวัตถุประสงค์เป็นข้อๆ หรือประเด็นๆ · การอภิปรายผล · ข้อเสนอแนะ การอภิปรายผล · การวิเคราะห์ อธิบายข้อค้นพบเพื่อหาสาเหตุ ที่มาของปรากฏการณ์ที่ค้นพบ · การถกเถียงข้อค้นพบกับงานวิจัยชิ้นอื่นๆ ที่ทำมาก่อนว่า มีข้อค้นพบที่เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร · การถกเถียงในเชิงกรอบแนวคิด ทฤษฎี ข้อเสนอแนะ · ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติการ · ข้อเสนอแนะสำหรับงานวิจัยครั้งต่อไป

ระเบียบวิจัย อ.อัญชนา

ส่วนของ อ.อัญชนา วัตถุประสงค์ ทำไมนักบริหารต้องเรียนรู้ระเบียบวิธีวิจัย เพื่อให้มีความรู้พื้นฐานและความเข้าใจบทบาทของงานวิจัย (เช่น งานวิจัยจะช่วยตอบปัญหาอะไรได้/ไม่ได้บ้าง) เพื่อให้สามารถประเมินผลงานวิจัยของผู้อื่นได้ (ข้อสอบให้ประเมินผลงานวิจัย) นักวิจัยไปทำการศึกษาโลกจริง คือ ปรากฎการณ์ต่างๆ ตามธรรมชาติ ซึ่งมีความซับซ้อน นักวิจัยก็ต้องไปเก็บรวบรวมข้อมูลมาด้วยวิธีการต่างๆ ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 เมื่อได้ข้อมูลมาก็ต้องตีความ แต่โดยทั่วไปคนมักมีอคติมีแนวคิดของตัวเองอยู่ จึงทำให้ข้อมูลที่เราได้รับมาอาจถูกตีความไปในรูปแบบที่ทำให้ความจริงกลายเป็นความเท็จได้ เชื่อว่าจริง ก็ยึดมั่นว่าจริง และปกป้องความเชื่อนั้น แต่นักวิจัยต้องไม่ยึดความเชื่อ แต่ยึดหลักฐานที่ปรากฎเท่านั้น นักวิจัยจึงต้องมีอคติน้อยที่สุดและมองข้อมูลให้เป็นวิทยาศาสตร์ที่สุด เกริ่นนำ การเรียนวิจัยตามทฤษฎีอย่างเดียวก็อาจจะง่าย แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถลงไปทำได้จริง ดังนั้นการเรียนวิจัยที่ดีจะต้องได้ลงมือทำด้วย การวิจัยในสาขาต่างๆ ก็มีระเบียบวิธีวิจัยที่แตกต่างกัน เช่น วิทยาศาสตร์ก็เน้นผลการทดลองในห้องแลป แต่สังคมจะเน้นการศึกษาปรากฎการณ์ในธรรมชาติ การวิจัยทางรศ. จะเน้นแบบ Generalist ไม่เน้น specialist การทำโพลล์ เป็นส่วนหนึ่งของการทำวิจัย ซึ่งต้องอาศัยระเบียบวิธีวิจัยเช่นกัน แต่ในเชิงวิชาการจะไม่ให้เน้นการทำโพลล์ การทำวิจัยเชิงนโยบาย (Policy Research) จะต้องใช้การทำวิจัยที่เป็น serious research เท่านั้น การเสนอแนะเชิงนโยบายต้องอ้างอิงตามข้อมูลที่สำรวจจริง ไม่ใช่เอาทัศนคติของนักวิจัยมาเป็นตัวตัดสิน เช่น ทำวิจัยเรื่องการทำการตลาดของโออิชิ แต่ให้ข้อเสนอแนะว่า อย.ควรเข้ามาดูกระบวนการผลิต จึงถือว่าข้อเสนอแนะไม่ตรงกับข้อคำถามการวิจัย งานวิจัยมีหลายระดับ ลักษณะงานวิจัยในหน่วยงานมีดังนี้ Peer Review การวิจารณ์ส่วนบุคคล งานวิจัยจะต้องให้คนอื่นวิจารณ์ด้วย ถึงจะได้รับการยอมรับเชิงวิชาการ “White Paper” หน่วยวิจัยไปรวบรวมข้อมูลมาเพื่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบตัดสินใจใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ Environmental Impact Assessment (EIA) วิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ผู้ลงทุนเป็นผู้จ่ายเงินให้ทำวิจัย จึงมีโอกาสที่จะมีความโน้มเอียง Social Impact Assessment (SIA) วิเคราะห์ผลกระทบทางสังคม เช่น มีผลกระทบอะไรกับชุมชนบ้าง Health Impact Assessment (HIA) วิเคราะห์ผลกระทบทางสุขภาพ คำถามการวิจัย Positive Question เป็นคำถามที่พยายามหาคำอธิบายปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นว่าสาเหตุเกิดจากอะไร Normative Question เป็นคำถามที่พยายามหาทางแก้ไขปัญหา ซึ่งคำตอบของ normative ก็มักขึ้นอยู่กับ positive ก็ได้ การจะตั้งคำถาม normative ได้ ต้องถามตัวเองก่อนว่า มีคำตอบสำหรับคำถาม positive หรือยัง ซึ่งจะต้องทำการทบทวนวรรณกรรมก่อน แนวคิดและทฤษฎี คำตอบไม่ได้ตัดสินที่ข้อมูล/ข้อเท็จจริงที่พบในการวิจัยเสมอไป เพราะว่าข้อมูลหนึ่งชุดสามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีมากกว่า 1 ทฤษฎีและทุกทฤษฎีก็ฟังดูมีเหตุผลทั้งนั้น กระบวนการวิจัย ไม่ใช่ว่าผ่านตามขั้นตอน 1-5 แล้ว จะเสร็จสิ้นการวิจัย เช่น ถ้าทบทวนวรรณกรรมแล้วพบว่ามีคนทำมากแล้ว ก็ต้องเปลี่ยนคำถามการวิจัยใหม่ การตั้งคำถาม ต้องเป็นประเด็นที่น่าสนใจ ไม่ใช่ว่าอ่านแล้วรู้คำตอบทันที (Obvious) บางคำถามอาจดูง่าย แต่ว่าคำตอบที่เราคิดว่าน่าจะใช่ อาจจะไม่ใช่ก็ได้ การตั้งคำถามต้องสนใจทฤษฎีด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าคำถามนั้นใช้ได้ ต้องเป็นคำถามที่หาสัจธรรมจากความเป็นจริง เช่น ประเทศไทยต้องเอาดีด้านการเกษตร จริงหรือ Karl Popper ทฤษฎีไม่เคยได้รับการพิสูจน์ มีแต่ยืนยันกับปฏิเสธ และถ้ามีพบข้อมูลที่ขัดแย้งกับทฤษฎีนั้นเมื่อไหร่ ทฤษฎีก็ถูกล้มล้างทันที การทำวิจัยต้องพึ่งทฤษฎี อย่าพึ่ง common sense เพราะอาจทำให้ผิดพลาดได้ Fallacy Trap Fallacy of Composition เวลาทำการวิเคราะห์ต้องระบุให้ชัดเจนว่า วิเคราะห์ในระดับ micro หรือ macro เพราะว่าอะไรที่เป็นจริงสำหรับ micro ไม่จำเป็นต้องเป็นจริงในระดับ macro เสมอไป สาเหตุหนึ่งเกิดจากผลกระทบภายนอก (externality) และ/หรือ มี interaction ระหว่างกัน เช่น มี otop ที่เดียวอาจดี แต่ถ้ามีทั้งประเทศก็จะเกิดการแข่งขันกัน แย่งกันขาย หรือ ความเสี่ยงของเกษตรกรกับความเสี่ยงของประเทศ Fallacy of Division เป็นส่วนกลับของ f-of-composition คือ อะไรที่เป็นจริงในระดับ macro ไม่จำเป็นต้องเป็นจริงในระดับ micro เช่น คนไทยที่จนเพราะรายจ่ายด้านสุขภาพส่วนใหญ่มาจากค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการเป็นผู้ป่วยนอก เพราะฉะนั้น ภาระของแต่ละครัวเรือนที่เกิดจากการเข้านอน รพ.จะต่ำหรือไม่ใช่ภาระที่สำคัญของครอบครัว (ไม่ใช่) Post-hoc Fallacy คือ ความเป็นเหตุเป็นผลที่ผิด เหตุกับผลที่เราสรุปไม่ได้มีความสัมพันธ์กันจริง แต่มีตัวแปรที่สามมาเกี่ยวข้อง เกิดเหตุที่หนึ่งทำให้เกิดผลที่สอง เกิดเหตุที่สองทำให้เกิดผลที่สาม ทำให้สรุปไปว่า เหตุที่หนึ่งทำให้เกิดผลที่สาม หรือ เหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับเหตุการณ์สอง จึงระบุว่าเหตุการณ์หนึ่งกับสองมีความสัมพันธ์กัน เช่น ระฆัง a ถึงสามทุ่ม ระฆัง b จะตี ถ้าสรุปว่าระฆัง a ทำให้ระฆัง b ตี ก็ผิด หรือ ห้างสรรพสินค้ากับอาชญากรรม หรือ บุหรี่กับเกรดการเรียน หรือ การดื่มนมกับมะเร็ง ซึ่งเหมือนจะมีความสัมพันธ์กัน แต่จริงๆ มาจากอายุเฉลี่ยของคนที่เป็น sample ซึ่งสูงกว่าที่อื่น Tautology คือ การที่เราใช้คำที่แตกต่างกันมาอธิบายแต่ไม่ได้ความหมายเพิ่ม เป็นการใช้คำซ้ำซาก ในเชิงของงานวิจัยมีได้สองอย่าง คือ โดยคำจำกัดความ (by definition) และ โดยโครงสร้าง (by construction) เช่น การออกแบบสอบถามสำหรับประเมินการฝึกอบรม ซึ่งเป็นการถามความรู้สึกของคนตอบ และคนที่ชอบก็มักตอบว่าเทรนแล้วได้ประโยชน์ดี จึงไม่อาจสรุปได้ว่า เทรนนิ่งดีแล้วจะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเสมอไป คำถามเชิงความคิดเห็น (Subjective) มักไม่ได้รับการยอมรับ Faith ศรัทธามักไม่สามารถไปกับการวิจัยได้ นักวิจัยต้องไม่ใช้ความเชื่อในการทำวิจัย Romanticism/Nostalgia คนมีแนวโน้มที่จะมองอดีตดีกว่าปัจจุบัน เช่น มองว่าตอนเป็นเด็กสบายกว่าตอนนี้ เพราะฉะนั้นต้องไม่ถามคำถามที่เป็นความรู้สึก subjective เพราะคนมีแนวโน้มที่จะรู้สึกว่าอดีตดีกว่า คุณสมบัติที่พึงปรารถนาของงานวิจัย ทำซ้ำได้ (Replicability) นักวิจัยต้องให้ข้อมูลที่ละเอียดชัดเจนเพื่อให้คนอื่นมาทำซ้ำได้ ถ้าใช้วิธีเดียวกัน ข้อมูลชุดเดียวกัน ต้องได้ผลเหมือนกัน แสดงว่างานวิจัยนั้นมีความสม่ำเสมอ (Robustness) และถ้าทำในคนละที่คนละเวลาแล้วยังได้ผลเหมือนกันก็จะช่วยให้งานวิจัยนั้นมีความเป็น generalize มากขึ้น สามารถนำไปใช้ในเชิงนโยบายภาพกว้างได้ดีขึ้น จริยธรรมในการทำวิจัย จริยธรรมในทางวิชาการ การทำวิจัยให้ได้ผล “ตามใบสั่ง” ปัญหาการลอกเลียนงานของผู้อื่น (plagiarism) ข้อมูลต้องเปิดเผยเพื่อเหตุผลทางวิชาการ จริยธรรมในการทำวิจัยกับคน Hyprocratic Oath “First, do no harm” ต้องไม่ทำอันตรายทางร่างกาย จิตใจ และการเงิน ของกลุ่มตัวอย่าง กฎหมายจึงกำหนดให้ต้องมีการให้กลุ่มตัวอย่างเซ็นยินยอม (informed consent) ด้วย ของไทยไม่ต้องมี informed consent (ยกเว้นด้านสาธารณสุข) Privacy/Anonymity/Confidentiality การปกปิดความลับให้กับกลุ่มตัวอย่าง การทำวิจัยเพื่อซื้อเวลา (เช่น รัฐบาล) นักวิจัยต้องเปิดเผยผู้ให้ทุน เพื่อจะได้ดูว่างานวิจัยนั้นมี conflict of interest หรือไม่ อย่าสัญญาอะไรที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทำได้ การตั้งคำถามการวิจัย ความสำคัญของปัญหาที่จะทำการวิจัย โดยดูจากจำนวนคนที่เกี่ยวข้อง (ยิ่งมากยิ่งสำคัญ) ความรุนแรงของปัญหา (รุนแรงมากยิ่งสำคัญ) ขอบเขตของปัญหา (ยิ่งกว้างยิ่งสำคัญ) เป็นไปได้ในทางปฏิบัติทั้งทางด้านวิธีการวิจัย (Methodology) จริยธรรม (Ethics) และการเงิน (finance) ตั้งคำถามให้สามารถทำวิจัยได้ คือ สามารถหาข้อมูลเชิงประจักษ์ได้ การเลือกปัญหาการวิจัย ปัญหาสังคม แหล่งที่มาของปัญหา ผลที่ตามมาของปัญหาเหล่านี้ ผลลัพธ์ของโครงการทางสังคมต่างๆ ทดสอบทฤษฎี เช่น ทดสอบทฤษฎีเคนส์ว่าถ้ารัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วจะทำให้ gdp เพิ่มขึ้นจริงหรือไม่ งานวิจัยที่มีผู้ทำมาแล้ว ข้อจำกัดของงานวิจัยที่ผ่านมา คำถามใหม่ๆ จากงานวิจัย ตั้งคำถามผลการวิจัยของงานวิจัยที่ผ่านมา การประเมินผลโครงการ การวิจัยทางด้านนโยบาย การนำนโยบายไปปฏิบัติ การวิเคราะห์โครงการ หลักวิชาต่างๆ เศรษฐศาสตร์ การเงินการคลัง การจัดการปฏิบัติการ หลักเกณฑ์ในการกำหนดประเด็น วัตถุประสงค์และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ การทบทวนวรรณกรรม กรอบแนวคิดในการวิจัย (Conceptual framework) หมายถึง แนวความคิดของผู้วิจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของตัวแปรและปัจจัยต่างๆ ที่ศึกษา อ.อัญชนา วัตถุประสงค์ ทำไมนักบริหารต้องเรียนรู้ระเบียบวิธีวิจัย เพื่อให้มีความรู้พื้นฐานและความเข้าใจบทบาทของงานวิจัย (เช่น งานวิจัยจะช่วยตอบปัญหาอะไรได้/ไม่ได้บ้าง) เพื่อให้สามารถประเมินผลงานวิจัยของผู้อื่นได้ (ข้อสอบให้ประเมินผลงานวิจัย) นักวิจัยไปทำการศึกษาโลกจริง คือ ปรากฎการณ์ต่างๆ ตามธรรมชาติ ซึ่งมีความซับซ้อน นักวิจัยก็ต้องไปเก็บรวบรวมข้อมูลมาด้วยวิธีการต่างๆ ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 เมื่อได้ข้อมูลมาก็ต้องตีความ แต่โดยทั่วไปคนมักมีอคติมีแนวคิดของตัวเองอยู่ จึงทำให้ข้อมูลที่เราได้รับมาอาจถูกตีความไปในรูปแบบที่ทำให้ความจริงกลายเป็นความเท็จได้ เชื่อว่าจริง ก็ยึดมั่นว่าจริง และปกป้องความเชื่อนั้น แต่นักวิจัยต้องไม่ยึดความเชื่อ แต่ยึดหลักฐานที่ปรากฎเท่านั้น นักวิจัยจึงต้องมีอคติน้อยที่สุดและมองข้อมูลให้เป็นวิทยาศาสตร์ที่สุด เกริ่นนำ การเรียนวิจัยตามทฤษฎีอย่างเดียวก็อาจจะง่าย แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถลงไปทำได้จริง ดังนั้นการเรียนวิจัยที่ดีจะต้องได้ลงมือทำด้วย การวิจัยในสาขาต่างๆ ก็มีระเบียบวิธีวิจัยที่แตกต่างกัน เช่น วิทยาศาสตร์ก็เน้นผลการทดลองในห้องแลป แต่สังคมจะเน้นการศึกษาปรากฎการณ์ในธรรมชาติ การวิจัยทางรศ. จะเน้นแบบ Generalist ไม่เน้น specialist การทำโพลล์ เป็นส่วนหนึ่งของการทำวิจัย ซึ่งต้องอาศัยระเบียบวิธีวิจัยเช่นกัน แต่ในเชิงวิชาการจะไม่ให้เน้นการทำโพลล