ืnida

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2558

ระเบียบวิจัย รศ.6020

         ผ่านไปแล้ว 5 วิชาหลัก เข้าสู่วิชาที่ 6 พวกเรานิด้า 21 อุดรธานีก็ได้กอดคอกันมาถึงครึ่งทางแล้ว วิชาที่เพิ่งจะสอบเสร็จไปหมาดๆคือ รศ.6300 การบริหารการเงินการคลัง จากการประเมินด้วยสายตา ก็เห็นว่าเพื่อนๆนิด้า21ล้วนแล้วแต่มีความสุขในการเขียนคำตอบในข้อสอบ วาดรูปตัวแบบกันอย่างสนุกอุรา ไม่เครียดเหมือนวิชาที่ผ่านมา  อื้ม.....โจนาธาน บอสตัน......(คุณจะอยู่ในใจพวกเราตลอดไป) และคิดว่าเพื่อนๆนิด้า21ทุกท่านจะปรับตัวและรู้หลักในการเขียนคำตอบมามากพอสมควรแล้ว  และผู้เขียนคิดว่า ในวิชาถัดๆไปพวกเราจะต้องพบกับอุปสรรคและด่านที่หินขึ้นไปเรื่อยๆๆๆ...................................................................

          ส่วนวิชานี้ ระเบียบวิจัย รศ.6020 แล้วพบกันค่ะ..............................................

เรียน ระเบียบวิจัยด้วยความสนุก นะคะ

รายงานกลุ่ม 9 นโยบายการเงินการคลัง

นโยบายการเงินการคลัง สมัยรัฐบาล คสช.
​​​​​​​​ความเป็นมาของนโยบายการเงินในประเทศไทย  

ตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการตราพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 ภายใต้พระราชบัญญัติดังกล่าว ธนาคารแห่งประเทศไทยมีหน้าที่ดำเนินธุรกิจของธนาคารกลาง และหน้าที่อื่นๆ ซึ่งจะกำหนดโดยการตราพระราชกฤษฎีกา ในกฎหมายนี้ถึงแม้มิได้ระบุเรื่องนโยบายการเงินอย่างชัดแจ้ง แต่ก็กำหนดให้คณะกรรมการธนาคารมีอำนาจในการกำหนดอัตรา ดอกเบี้ยมาตรฐาน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ ธปท. เรียกเก็บจากการเป็นแหล่งเงินกู้แหล่งสุดท้าย (Lender of the last resort) ของสถาบันการเงิน นอกจากนี้ ยังให้อำนาจ ธปท. ในการซื้อขายตราสารหนี้และเงินตราต่างประเทศ ตลอดจนให้สินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกันแก่สถาบันการเงิน ซึ่งในเรื่องเหล่านี้ ธปท. มิได้กระทำเพื่อค้ากำไร ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า กฏหมายมีบทบัญญัติโดยอ้อมให้ ธปท. เป็นผู้ดำเนินนโยบายการเงินอย่างชัดเจน และในทางปฏิบัติ ธปท. จะดำเนินธุรกิจของธนาคารกลางโดยคำนึงถึง เสถียรภาพทางด้านการเงินและระบบการเงิน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาว

นโยบายการเงินของไทยแบ่งได้เป็น 3 ช่วงคือ

1) การผูกค่าเงินบาทกับทองคำค่าเงินสกุลอื่นหรือกับตะกร้าเงิน (Pegged Exchange Rate) (ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 - มิถุนายน 2540) นโยบายนี้เริ่มใช้ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา โดยช่วงแรกใช้วิธีผูกค่าเงินไว้กับทองคำ ก่อนที่จะเปลี่ยนไปผูกค่าเงินบาทกับเงินสกุลอื่น และเปลี่ยนไปใช้ระบบผูกค่าเงินบาท กับตระกร้าเงินในช่วงพฤศจิกายน 2527 - มิถุนายน 2540 ภายใต้ระบบตะกร้าเงินนี้ ทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยน (Exchange Equalization Fund : EEF) จะเป็นผู้ประกาศและปกป้องค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์ สรอ. ในแต่ละวัน ซึ่งในขณะนั้น การมีอัตราแลกเปลี่ยนที่คงที่ช่วยในการสนับสนุนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืนในระยะยาว
2) การกำหนดเป้าหมายทางการเงิน (Monetary Targeting) (กรกฎาคม 2540 - พฤษภาคม 2543) หลังจากที่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยน มาเป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 นั้น ประเทศไทยขอรับความช่วยเหลือด้านการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) และได้มีการกำหนด Policy Anchor แบบใหม่ คือ Monetary Targeting ซึ่งกำหนดเป้าหมายทางการเงิน อิงกับกรอบการจัดทำโปรแกรมกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เพื่อให้เกิดความสอดคล้องระหว่างนโยบายการเงิน นโยบายการคลัง และเม็ดเงินจากภาคต่างประเทศ และดุลการชำระเงิน และให้ได้ภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจและระดับราคาตามที่กำหนดไว้ (Ultimate Objectives) จากการประเมินภาพเศรษฐกิจดังกล่าว ธปท.สามารถกำหนดเป้าหมายฐานเงินรายไตรมาสและรายวัน เพื่อใช้เป็นหลักในการบริหารสภาพคล่องรายวัน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับสภาพคล่องและอัตราดอกเบี้ยในระบบการเงิน มิให้เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอย่างผันผวนจนเกินไป
3) การกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อ (Inflation Targeting) (23 พฤษภาคม 2543 - ปัจจุบัน) ธนาคารแห่งประเทศไทยได้พิจารณาปัจจัยต่างๆในระบบการเงิน ทั้งปัจจุบันและในอนาคตแล้วเห็นว่า การใช้ปริมาณเงินเป็น เป้าหมายจะมีประสิทธิผลน้อยกว่าการใช้เงินเฟ้อเป็นเป้าหมาย เนื่องจาก ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณเงินและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ตั้งแต่ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจเป็นต้นมาไม่มีเสถียรภาพ  ดังนั้นเมื่อประเทศไทยออกจากโปรแกรมกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ธปท. จำเป็นต้องมีการกำหนด policy anchor ใหม่ ที่เหมาะสมสำหรับประเทศ และเห็นว่ากรอบ Inflation Targeting น่าจะเหมาะสมในการสร้างความน่าเชื่อถือของธนาคารกลางและนโยบายการเงินอีกครั้ง
การดำเนินนโยบายการเงิน ในกรอบ Inflation Targeting นั้น ธปท. อาศัยอำนาจผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายการเงินชุดแรกขึ้น เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2543 โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิเป็นกรรมการ ร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของธนาคารแห่งประเทศไทย รวมจำนวน 9 ท่าน ในการกำหนดทิศทางนโยบายการเงินของประเทศ เพื่อรักษาเสถียรภาพของระดับราคา ตลอดจนพัฒนากรอบ Inflation Targeting ให้ เหมาะสมกับประเทศไทย ปัจจุบันคณะกรรมการนโยบายการเงินมีกรรมการทั้งหมด 7 ท่าน โดย 4 ท่านเป็นผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอก
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2551 พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ได้ประกาศใช้ โดยให้มีการกำหนดวัตถุประสงค์ 
เป้าหมายและความรับผิดชอบอย่างชัดเจน เพื่อให้เหมาะสมกับการดำเนินภารกิจของธนาคารกลางในการดำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพทางการเงิน เสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน และระบบการชำระเงิน
ความรู้เรื่องนโยบายการเงิน

การกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงิน

ธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น (Flexible Inflation Targeting) มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2543 ซึ่งหมายความว่า ธปท. ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลอัตราเงินเฟ้อเพียงอย่างเดียว แต่ ธปท. ยังให้ความสำคัญกับการดูแลการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมทั้งเสถียรภาพด้านอื่นๆ อาทิ ภาคธุรกิจ ภาคครัวเรือน ภาคสถาบันการเงิน และตลาดการเงินด้วย 

เป้าหมายเงินเฟ้อตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2543 จนถึงปี 2551

1)  ใช้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core inflation) เป็นเป้าหมายในการดำเนินนโยบาย
อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน หมายถึง อัตราการเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนของดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index: CPI) ที่หักราคาสินค้าในหมวดอาหารสดและพลังงานออก โดยมีเหตุผลมาจากการที่ราคาสินค้าในกลุ่มที่หักออกดังกล่าว อาทิ ข้าว ผลิตภัณฑ์จากแป้ง เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ค่าไฟฟ้า ก๊าซหุงต้มและน้ำมันเชื้อเพลิง มีความผันผวนมากในระยะสั้นอันเกิดจากปัจจัยภายนอกที่อยู่นอกเหนือความสามารถในการควบคุมของนโยบายการเงิน ดังนั้น หากยังคงรวมอยู่ในเป้าหมายอาจจะทำให้ต้องปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินบ่อยครั้งและอาจจะเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจให้เลวลงไปอีกได้ เช่น กรณีที่ราคาสินค้าหมวดอาหารสดและพลังงานสูงขึ้น ซึ่งส่งผลบั่นทอนกำลังซื้อของประชาชนอยู่แล้ว หากมีการดำเนินนโยบายการเงินอย่างเข้มงวด โดยการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลง จะมีผลทำให้การอุปโภคบริโภคยิ่งลดลง และกลายเป็นการซ้ำเติมการขยายตัวของเศรษฐกิจให้เลวลงมากขึ้น 

กล่าวโดยสรุปคือ การหักราคาสินค้าในกลุ่มดังกล่าวออกจะช่วยลดความผันผวนของอัตราเงินเฟ้อ สะท้อนแรงกดดันด้านราคาที่แท้จริง (Underlying inflation) ที่มาจากด้านอุปสงค์หรือส่วนของ Second-round effect ได้ดีขึ้น ในขณะเดียวกัน ความผันผวนที่น้อยลงช่วยลดการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินบ่อยเกินความจำเป็น อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะหักราคาสินค้าหมวดอาหารสดและพลังงานออกก็ตาม แต่ข้อมูลที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของระดับราคาในภาพรวม (General price level) ก็ยังสามารถสะท้อนได้จากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 3 ใน 4 ของดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index) นอกจากนี้ จากข้อมูลในอดีตพบว่าในระยะยาวอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะเคลื่อนไหวไปด้วยกัน แม้ว่าในระยะสั้นอาจมีความแตกต่างกันบ้าง ดังนั้น การดูแลรักษาเสถียรภาพด้านราคาโดยการใช้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเป็นเป้าหมาย จะเท่ากับเป็นการดูแลรักษาเสถียรภาพของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปด้วย ซึ่งหมายถึงการดูแลให้ราคาสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับค่าครองชีพของประชาชนมีเสถียรภาพในระยะยาว  
2) ใช้ช่วงร้อยละ 0-3.5 ต่อปี เป็นเป้าหมาย โดยคำนึงถึง

·         ความสามารถในการปรับตัวของประชาชนในกลุ่มต่าง ๆ ในระบบเศรษฐกิจต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับราคา โดยเฉพาะกลุ่มผู้เกษียณอายุที่พึ่งพารายได้จากดอกเบี้ยเงินฝากเป็นหลัก กลุ่มผู้มีเงินเดือนประจำ รวมไปถึงกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่มีอำนาจต่อรองค่าจ้างค่อนข้างต่ำ เพราะอาจได้รับผลกระทบหากระดับของเงินเฟ้อที่เป็นเป้าหมายสูงเกินไป เนื่องจากรายได้มักจะเพิ่มขึ้นไม่ทันกับอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งจะทำให้อำนาจซื้อลดลง

·         ความสอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อของประเทศคู่ค้าคู่แข่งสำคัญของไทย เพราะการรักษาอัตราเงินเฟ้อของไทยให้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อของประเทศคู่ค้าคู่แข่งจะช่วยรักษาความสามารถแข่งขันด้านราคาในการส่งออกของประเทศไทยได้ โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2542 – 2551) อัตราเงินเฟ้อของประเทศคู่ค้าคู่แข่งสำคัญของไทยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 1.8  

·         3) ใช้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสเป็นเป้าหมาย
·         เนื่องจากโดยปกติ อัตราเงินเฟ้อรายเดือนมักจะมีความผันผวนสูง การเฉลี่ยเป็นรายไตรมาสจึงช่วยให้เห็นพัฒนาการของเงินเฟ้อได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยให้ ธปท. และประชาชนสามารถตรวจสอบได้เร็วกว่าการเฉลี่ยเป็นรายปีหรือระยะเวลาที่นานกว่านั้น หากเงินเฟ้อมีแนวโน้มจะหลุดจากเป้าหมาย รวมทั้งยังสอดคล้องกับประมาณการจากแบบจำลองเศรษฐกิจมหภาครายไตรมาสที่คณะกรรมการฯ ใช้เป็นเครื่องมือประกอบการกำหนดนโยบาย 
·         คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีความเห็นว่าเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ร้อยละ 0-3.5 มีความเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจของไทย และการที่กำหนดเป็นช่วง (Range) และมีขนาดกว้างพอสมควร ก็เพื่อที่จะช่วยให้การดำเนินนโยบายการเงินมีความยืดหยุ่นและสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ (Temporary economic shocks)  ซึ่งช่วยลดความจำเป็นที่คณะกรรมการฯ จะต้องปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินบ่อยครั้ง ซึ่งหมายถึงการลดความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจและการเงินของประเทศดำเนินไปได้อย่างราบรื่น

เป้าหมายเงินเฟ้อปี 2552 

พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กำหนดกรอบในการดำเนินงานด้านนโยบายการเงินของประเทศไว้อย่างชัดเจนในมาตราที่ 28/8 โดยระบุว่า "ภายในเดือนธันวาคมของทุกปี ให้คณะกรรมการนโยบายการเงินจัดทำเป้าหมายของนโยบายการเงินในปีถัดไป เพื่อเป็นแนวทางให้แก่รัฐและ ธปท. ในการดำเนินการใด ๆ เพื่อดำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพด้านราคา โดยทำความตกลงร่วมกับรัฐมนตรี และให้รัฐมนตรีเสนอเป้าหมายของนโยบายการเงินที่ได้ทำความตกลงร่วมนั้นต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติ เมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา"

ด้วยเหตุนี้ กนง. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจึงได้พิจารณาทบทวนความเหมาะสมของเป้าหมายเงินเฟ้อปี 2552 ร่วมกันอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงประเด็นสำคัญต่าง ๆ และได้เห็นชอบร่วมกันที่จะเสนอเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อใหม่โดย 

(1) ใช้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสเช่นเดิมเพื่อสร้างความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบาย  

(2) ปรับช่วงของเป้าหมายให้แคบลงไว้ที่ร้อยละ 0.5-3.0 ต่อปี ทั้งนี้ ได้ปรับขอบล่างให้สูงกว่าศูนย์เพื่อลดโอกาสของการเกิดภาวะเงินฝืด ขณะเดียวกันปรับขอบบนลงให้เท่ากับที่ปรับขอบล่างขึ้น เพื่อไม่ส่งสัญญาณว่าจุดยืนของนโยบายการเงินจะเปลี่ยนแปลง ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเป้าหมายดังกล่าวเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2552

เป้าหมายเงินเฟ้อปี 2553 จนถึงปี 2557

เป้าหมายอัตราเงินเฟ้อตั้งแต่ปี 2553 ถึงปี 2557 กนง. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเห็นชอบร่วมกันที่จะยังคงใช้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสที่ร้อยละ 0.5 -3.0 ต่อปี ซึ่งเป็นเป้าหมายเงินเฟ้อต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2552 โดยเห็นว่ายังคงเป็นเป้าหมายที่มีความเหมาะสมในการช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะต่อไป เนื่องจาก
(1) อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำและไม่ผันผวน (Low and stable) จะมีส่วนสำคัญยิ่งที่ช่วยเอื้อให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
(2) เป้าหมายอัตราเงินเฟ้อที่วางไว้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อของประเทศคู่ค้าคู่แข่ง ซึ่งจะช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าส่งออกของไทย
(3) เป้าหมายเงินเฟ้อที่ต่ำช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ภาคธุรกิจที่จะสามารถตัดสินใจวางแผนบริโภคและลงทุนได้อย่างมั่นใจ

เป้าหมายเงินเฟ้อปี 2558

กนง. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้พิจารณาทบทวนความเหมาะสมของเป้าหมายเงินเฟ้อร่วมกันและเห็นชอบที่จะใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเป็นเป้าหมายของนโยบายการเงิน เนื่องจากในระยะหลังอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีความสามารถในการสะท้อนค่าครองชีพได้น้อยลง และราคาพลังงานและอาหารสดมีส่วนสำคัญต่อการกำหนดเงินเฟ้อมากขึ้น นอกจากนี้ การใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ครอบคลุมในทุกกลุ่มกลุ่มสินค้าและบริการรวมถึงพลังงานและอาหารสดด้วยนั้น สอดคล้องกับความเข้าใจของประชาชน ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจบริโภคและออมของประชาชน การตัดสินใจลงทุนและตั้งราคาของภาคธุรกิจ จึงง่ายต่อการสื่อสารนโยบายการเงินของ กนง. กับสาธารณชน ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งกับการดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น เนื่องจากการใช้อัตรา
เงินเฟ้อทั่วไปเป็นเป้าหมายจะช่วยให้การยึดเหนี่ยวเงินเฟ้อคาดการณ์ของสาธารณชนมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2558 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติกำหนดใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยรายปีที่ร้อยละ 2.5 ± 1.5 เป็นเป้าหมายนโยบายการเงิน ปี 2558 ซึ่งเป้าหมายใหม่นี้มีองค์ประกอบที่สำคัญที่จะช่วยให้การดำเนินนโยบายการเงินมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้
(1) อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสอดคล้องกับความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของระดับราคาในระบบเศรษฐกิจมากที่สุด เนื่องจากครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้าและบริการที่ประชาชนบริโภค ซึ่งรวมถึงกลุ่มพลังงานและกลุ่มอาหารสดที่มีน้ำหนักรวมกันถึงร้อยละ 27 ของตะกร้าสินค้าผู้บริโภค ขณะที่ในระยะหลังอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานสามารถสะท้อนค่าครองชีพได้น้อยลง และราคาพลังงานและอาหารสด มีส่วนสำคัญต่อการกำหนดเงินเฟ้อมากขึ้น  ดังนั้น การใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะช่วยให้ กนง. สื่อสารนโยบายการเงินกับประชาชนได้ง่ายขึ้น และช่วยยึดเหนี่ยวการคาดการณ์เงินเฟ้อของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ ในปัจจุบันประเทศที่ดำเนินนโยบายการเงินโดยใช้เป้าหมายเงินเฟ้อล้วนใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเป็นเป้าหมายทั้งสิ้น  

(2) กำหนดรูปแบบเป้าหมายเงินเฟ้อเป็นค่ากลาง (ร้อยละ 2.5) แทนที่แบบช่วง (ร้อยละ 0.5 – 3.0) จะช่วยให้การส่งสัญญาณในการดูแลเสถียรภาพด้านราคามีความชัดเจนขึ้น และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเหนี่ยวการคาดการณ์เงินเฟ้อ นอกจากนี้ ยังให้มีค่าความยืดหยุ่น (Tolerance Band) ที่ร้อยละ ± 1.5 ซึ่งจะทำให้นโยบายการเงินมีความยืดหยุ่น (Policy Space) ในการรักษาอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการดูแลเสถียรภาพด้านราคา โดยในช่วงแรกค่าความยืดหยุ่นที่ร้อยละ 1.5 น่าจะมีความเหมาะสมและสามารถรองรับความผันผวนของราคาพลังงานและอาหารสดได้ในระดับหนึ่ง
(3) กำหนด Time horizon ที่ยาวขึ้นจากค่าเฉลี่ยรายไตรมาสเป็นค่าเฉลี่ยรายปีมีความสอดคล้องกับระยะเวลาการส่งผ่านนโยบายการเงิน
 ภาวะเศรษฐกิจไทยกับนโยบายการเงิน
                ดร. รุ่ง มัลลิกะมาส ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงินแถลงข่าวในเดือนกุมภาพันธ์ 2558 การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังเป็นไปอย่างช้าๆ  การใช้จ่ายภาคเอกชนทรงตัวเนื่องจากครัวเรือนและธุรกิจยังคงระมัดระวังการใช้จ่าย การใช้จ่ายของภาครัฐใกล้เคียงกับเดือนก่อน ขณะที่การส่งออกสินค้าเห็นผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนและอาเซียนที่ชะลอตัว อย่างไรก็ดี ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวดีต่อเนื่องและเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ ทั้งนี้ ราคาน้ำมันโลกที่อยู่ในระดับต่ำส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบเป็นเดือนที่ 2 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5
                เศรษฐกิจไทยในปี 2557 ขยายตัวเพียงร้อยละ 0.7 จากปีก่อน เพราะมีข้อจำกัดด้านการเติบโตจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยในช่วงครึ่งแรกของปี เศรษฐกิจไทยไม่ขยายตัวเนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานบางส่วนของภาครัฐและความเชื่อมั่นของครัวเรือน ธุรกิจ รวมทั้งนักท่องเที่ยว ประกอบกับหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังในการใช้จ่ายและสถาบันการเงินระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ นอกจากนี้ การส่งออกสินค้ายังฟื้นตัวช้าตามอุปสงค์ต่างประเทศที่ขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป รวมทั้งไทยมีข้อจำกัดด้านการผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีสูง ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวธุรกิจจึงชะลอการผลิตและการลงทุนใหม่ออกไป 
                แนวโน้มธุรกิจไทย ปี 2558 ธปท.ได้จัดทำ โครงการแลกเปลี่ยนข้อมูลเศรษฐกิจ/ธุรกิจระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยกับนักธุรกิจ” (Economic/Business Information Exchange Program) เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและสร้างความรู้ความเข้าใจร่วมกับภาคธุรกิจเอกชนเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน ทั้งในระดับมหภาคและระดับธุรกิจ รวมทั้ง การคาดการณ์ทางเศรษฐกิจซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินนโยบายการเงิน โครงการนี้จึงถือเป็นการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ (Qualitative Analysis) เพื่อช่วยเสริมการวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative Analysis) ที่ใช้แบบจำลองทางเศรษฐมิติในการประมาณการเศรษฐกิจ

แบบจำลองเศรษฐกิจสำหรับนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ                 

https://www.bot.or.th/bot_image_gallery/MPC2/Model_1_eng.png
https://www.bot.or.th/bot_image_gallery/MPC2/Model_2_eng.png

                การดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ (Inflation Targeting) ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์และประเมิน
แนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคตให้ได้อย่างถูกต้องและมีความเป็นเหตุเป็นผล  เพื่อให้การตัดสินใจนโยบายการเงินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมต่อการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน   ดังนั้น คณะกรรมการนโยบายการเงินจำเป็นต้องใช้แบบจำลองเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือในการประมาณการแนวโน้มและประเมินผลกระทบของปัจจัยแวดล้อมต่างๆ รวมทั้งนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ตลอดจนใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารกับสาธารณชนเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ มุมมองของคณะกรรมการฯ และเหตุผลของการตัดสินใจ
         แบบจำลองเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์ต่อคณะกรรมการฯ ต้องมีคุณสมบัติที่สามารถช่วยให้คณะกรรมการฯ และเจ้าหน้าที่ ธปท. ทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจอันเกิดจากปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของภาคส่วนต่างๆ ได้อย่างมีเหตุผล  รวมทั้งสามารถช่วยคณะกรรมการฯ ในการประมาณการแนวโน้มเศรษฐกิจได้อย่างค่อนข้างแม่นยำ อย่างไรก็ดี แบบจำลองใดแบบจำลองหนึ่งยัง​​ไม่สามารถทำหน้าที่ทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์   คณะกรรมการฯ จึงเห็นประโยชน์ของการใช้แบบจำลองเศรษฐกิจหลายประเภทเพื่อเป็นเครื่องมือเสริมซึ่งกันและกันในการวิเคราะห์และพยากรณ์เศรษฐกิจประกอบการตัดสินนโยบายการเงิน  รวมทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนาแบบจำลองในรูปแบบต่างๆ อย่างต่อเนื่อง  โดยแบบจำลองที่มีการพัฒนาอยู่ในขณะนี้มีดังนี้
          1. แบบจำลองเศรษฐกิจมหภาค (Bank of Thailand's Macroeconometric Model – BOTMM) เป็นแบบจำลองหลักที่คณะกรรมการฯ ใช้ในการประมาณการแนวโน้มเศรษฐกิจ  เริ่มเผยแพร่ครั้งแรกในรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อฉบับเดือนกรกฎาคม 2543 และมีการปรับปรุงมาเป็นระยะ   แบบจำลอง BOTMM เป็นระบบสมการที่สรุปกลไกสำคัญภายในระบบเศรษฐกิจจากความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่สำคัญต่างๆ โดยใช้วิธีหาความสัมพันธ์ทางเศรษฐมิติ (Error Correction Mechanism) ระหว่างตัวแปรเหล่านี้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวตามหลักทฤษฎีจากข้อมูลรายไตรมาสนับตั้งแต่ปี 2536 จนถึงปัจจุบัน  ประกอบด้วยสมการเชิงพฤติกรรม (Behavioural Equations) 25 สมการและสมการเอกลักษณ์ (Identities) 44 สมการ  ครอบคลุมภาคเศรษฐกิจสำคัญ 4 ภาค คือ ภาคเศรษฐกิจจริง  ภาคการเงิน  ภาคต่างประเทศ  และภาครัฐบาล   แบบจำลองนี้มีบทบาทสำคัญในการประมาณการเศรษฐกิจ รวมทั้งการประเมินผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายและปัจจัยที่สำคัญต่างๆ เช่น รายจ่ายของภาครัฐ ราคาน้ำมัน และอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า อย่างไรก็ตาม แบบจำลองนี้มีข้อจำกัดในการนำมาใช้ตอบคำถามที่มีลักษณะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจ อาทิ ผลกระทบของการเปลี่ยนระบบภาษีหรือการเปลี่ยนนโยบาย (Policy Regime) ต่างๆ  เพราะไม่ได้สร้างจากการทำความเข้าใจในพฤติกรรมของแต่ละหน่วยเศรษฐกิจที่อาจเปลี่ยนแปลงไปจากผลของนโยบายภาครัฐ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการคาดการณ์ (Expectation Formation)
           2. แบบจำลองเศรษฐกิจกึ่งโครงสร้างขนาดเล็ก (Small Semi-structural Model) มีพื้นฐานแนวคิดมาจากทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ในกลุ่ม New Keynesian  ประกอบไปด้วยระบบสมการเชิงพฤติกรรม (Behavioural Equations) เพียง 5 สมการที่ใช้อธิบายการเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจผ่านพลวัตของตัวแปรสำคัญ คือ ช่องว่างการผลิต (Output Gap)  อัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย อัตราแลกเปลี่ยน และดุลบัญชีเดินสะพัด  และสมการเชิงพฤติกรรมสำหรับอธิบายพลวัตในระบบเศรษฐกิจต่างประเทศอีก 4 สมการ โดยกำหนดค่า Parameters จากเทคนิค Bayesian Estimation ที่มีการผสมผสานเทคนิคทางสถิติกับความเข้าใจโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจ  แบบจำลองประเภทนี้มีบทบาทในการใช้ศึกษาผลกระทบของปัจจัยต่างๆ ต่อตัวแปรหลักในระบบเศรษฐกิจ  ซึ่งขนาดที่เล็กของแบบจำลองทำให้มีความคล่องตัวและช่วยให้สามารถเข้าใจเหตุผลสำคัญที่สามารถนำไปใช้สื่อความได้ง่าย
           3. แบบจำลอง Dynamic Stochastic General Equilibrium (DSGE) มีพื้นฐานการสร้างจาก Growth and Business Cycle Theory ใน General Equilibrium Setup โดยให้ความสำคัญกับการเข้าใจถึงกระบวนการตัดสินใจบริโภคและลงทุนเพื่อให้ได้มาซึ่งอรรถประโยชน์และกำไรสูงสุดภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ ของครัวเรือนและภาคธุรกิจ   แบบจำลองนี้สามารถนำมาใช้อธิบายกลไกการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจได้ดีเนื่องจากความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างในแบบจำลองมีความสอดคล้องกันอย่างเป็นระบบ  ที่สำคัญคือ Parameters เชิงโครงสร้างในแบบจำลองถูกกำหนดมาเพื่อให้สะท้อนลักษณะเด่น (Salient Features) ของเศรษฐกิจไทย  โดยสามารถหลีกเลี่ยงปัญหา Estimation ในกรณีที่ขาดข้อมูลระยะยาวหรือมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญในระบบเศรษฐกิจ  นอกจากนี้ เนื่องจาก Parameters ดังกล่าวไม่ถูกกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของนโยบาย  ทำให้แบบจำลองนี้สามารถอธิบายพลวัตของตัวแปรต่างๆ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจ โดยเฉพาะนโยบายที่มีผลต่อการคาดการณ์ของครัวเรือนและธุรกิจได้ดีกว่าแบบจำลองประเภทอื่น
          4. แบบจำลองเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น แบบจำลองเสริม (Satellite Models) ที่จัดอยู่ในประเภท Macroeconometric Model เช่นเดียวกับ BOTMM ได้แก่ (1) แบบจำลองงบการเงินภาคธุรกิจ และ (2) แบบจำลองงบการเงินภาคครัวเรือน  รวมทั้งแบบจำลองประเภท Vector Autoregressive Models (VARs) ที่ใช้ข้อมูลในช่วงเวลาก่อนหน้า (Lagged Variables) ในการอธิบายพลวัตหรือกลไกการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลทางเศรษฐกิจในช่วงเวลาปัจจุบัน               
คณะกรรมการฯ อาศัยผลของแบบจำลองแต่ละประเภทที่มีจุดเด่นแตกต่างกันประกอบกับการใช้ดุลยพินิจ (Judgment)  ทำให้สามารถประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและผลกระทบทางด้านนโยบาย (Policy Analysis) ได้อย่างครอบคลุมยิ่งขึ้น และช่วยทำให้สามารถดำเนินนโยบายการเงินได้อย่างเหมาะสม 
             การดำเนินนโยบายการเงินเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี นับตั้งแต่คณะกรรมการฯ ประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยจะส่งผลกระทบผ่านระบบการเงินในช่องทางต่าง ๆ 5 ช่องทาง ได้แก่
1. ช่องทางอัตราดอกเบี้ย (Interest rate channel)
2. ช่องทางสินเชื่อ (Credit channel)
3. ช่องทางราคาสินทรัพย์ (Asset price channel)
4. ช่องทางอัตราแลกเปลี่ยน (Exchange rate channel)
5. ช่องทางการคาดการณ์ (Expectations channel)
โดยการส่งผ่านภายใต้ช่องทางเหล่านี้จะขยายวงกว้างไปสู่การเปลี่ยนแปลงของการใช้จ่ายและการลงทุนในระบบเศรษฐกิจและจะส่งผลกระทบต่อปริมาณการผลิตและอัตราเงินเฟ้อในที่สุด


วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2558

แนวเขียนตอบ อ.พลภัทร

การตอบคำตอบของ อ.พลภัทรฯ
ตอบให้ตรงประเด็น
มีหลักวิชาการ
อธิบายเป็นขั้นตอน (ห้ามเขียนแผนภาพโดยไม่อธิบาย)
ข้อที่ 1
ประเด็นที่ 1 ทำไมค่าเงินหยวนจึงอ่อนเมื่อเทียบกับเงินอเมริกาทั้งที่เกินดุล
 เมื่อพิจารณาเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนแล้ว ส่วนใหญ่เป็นเงินอเมริกา ทำให้เมื่อค่าเงินอเมริกาอ่อนลง ก็จะส่งผลทำให้ค่าเงินของจีนอ่อนลงด้วย
ประกอบกับจีนใช้ระแบบแลกเปลี่ยนเงินแบบกึ่งลอยตัว ประเภท Float with barn system นั่นคือ ให้มีการลอยตัวอยู่บนช่วงที่รัฐกำหนดไว้ ซึ่งจีนก็กำหนดไว้ที่ 3 เปอร์เซ็นต์ นั่นหมายความว่าค่าเงินของจีนนั้นจะผันผวนขึ้นลงได้แค่ 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ในการกำหนดค่าเงินของจีนนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับการแข่งขันในตลาดเสรีแล้ว มีผลน้อยมาก หรือแทบจะไม่มีผลเลย ดังนั้น เราจึงอาจสรุปได้ว่า อัตราแลกเปลี่ยนเงินของจีนเป็นแบบ Fixed Exchange rat system อัตราแลกเปลี่ยนจึงไม่ผันผวนไปตามกลไกตลาด
และในส่วนที่เกินดุลก็เนื่องจากเงินทุนไหลออกจากอเมริกา เข้ามาลงทุนในประเทศจีนจำนวนมาก กรณีเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจีนจะอยู่ในช่วงการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งตามหลักการแล้วต้องสั่งนำเข้าเครื่องมือในการผลิตจากต่างประเทศ จะทำให้ขาดดุลบัญชีดุลชำระเงินระหว่างประเทศ แต่เมื่อหักกลบกับเงินทุนที่ไหลเข้าประเทศจีนแล้ว พบว่าเงินทุนที่ไหลจากอเมริกาเข้ามาในจีนมีมากว่า ดุลบัญชีชำระเงินระหว่างประเทศของจีนจึงเกินดุล
สรุป ค่าเงินยวนของจีนอ่อน เพราะ
เก็บเงินสกุลอเมริกาไว้มากกว่าเงินสกุลอื่น ทำให้ค่าเงินลดลงตามค่าเงินของอเมริกา
รัฐเข้าไปแซกแทรงระบบแลกเปลี่ยนให้ผันผวนได้เพียงสามเปอร์เซ็นต์ ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนไม่เป็นไปตามกลไกตลาด
สรุป ดุลบัญชีชำระเงินระหว่างประเทศของจีนเกินดุลเพราะ
มีเงินทุนไหลเข้ามาในประเทศจีน มากกว่าการนำเข้าเครื่องจักรในการลงทุน
 
ประเด็นที่ 2 เงินหยวนอ่อนจะส่งผลกระทบ ต่อไปนี้
ปริมาณเงินหยวนในประเทศ
 ปริมาณเงินหยวนจะมีมากขึ้น เนื่องจาก
เงินหยวน เมื่อเทียบกับ อเมริกา แล้วอ่อน นั่นหมายความว่า ต้องใช้เงินหยวนมากขึ้น เพื่อที่จะแลกเงินอเมริกาได้เท่าเดิม ดังนั้นจีนจึงต้องเพิ่มปริมาณเงินหยวนในระบบ เพื่อจะให้เพียงพอต่อความต้องการใช้แลกเงินอเมริกาดังกล่าว
การนำเข้า – ส่งออก ของจีน
 การส่งออกจะดี ส่วนการนำเข้าจะลดลง ซึ่งอธิบายได้ว่า
 เมื่อเงินหยวน อ่อน กว่าเงินอเมริกา / พูดในทางกลับกันก็คือ เงินอเมริกา แข็งกว่าเงินหยวน นั่นแสดงว่า เงินอเมริกาเท่าเดิม สามารถแลกเงินหยวนได้มากขึ้น ความสามารถในการซื้อก็เพิ่มขึ้นด้วย (เปรียบเสมือนสินค้าของจีนในสายตาของอเมริกาจะถูกลงเพราะค่าเงิน) นั่นจะเป็นตัวกระตุ้นให้สินค้าของจีนสามารถนำเข้าในอเมริกาได้มากขึ้น เนื่องจากมีราคาถูก การส่งออกของจีนจึงดี
 แต่ในส่วนการนำเข้า เมื่อเงินหยวนอ่อนกว่า ก็แสดงว่าต้องใช้เงินหยวนในปริมาณมากขึ้นเพื่อจะซื้อสินค้าของอเมริกาได้เท่าเดิม การนำเข้าจึงลดลง เนื่องจากราคาสินค้าของอเมริกาจะแพงขึ้นในสายตาคนจีน เพราะค่าเงินดังกล่าว
เงินทุนไหลเข้า – ออก ของจีน
 เงินทุนจะไหลเข้าจีนมากขึ้น อธิบายได้ว่า
 เมื่อเงินหยวนอ่อน ก็แสดงว่า เงินอเมริกาเท่าเดิมสามารถแลกเงินหยวนได้มากขึ้น ทำให้มีกำลังซื้อมากขึ้น ลงทุนได้สูงขึ้นกว่าเดิม เงินทุนก็จะไหลเข้ามาลงทุนในจีนมากขึ้น ดังกล่าว
ภาวะเงินเฟ้อ
 จะสูงขั้น เนื่องจาก
ได้เคยกล่าวไปแล้วว่า จีนต้องพิมพ์เงินหยวนออกมามากขึ้นเพื่อ ให้เพียงพอต่อการเอาไปแลกเงินอเมริกา เนื่องจากค่าเงินหยวนอ่อนกว่าค่าเงินอเมริกา
 ซึ่งการพิมพ์เงินออกมาใช้ในระบบมาก ความสามารถในการซื้อของประชาชนก็จะมีมากในขณะที่ ความสามารถในการผลิตสินค้ามีเท่าเดิม ทำให้อุปส่งค์มากกว่าอุปทาน ราคาสินค้าก็จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาวะเช่นนี้เรียกว่า เงินเฟ้อสูง
 
ดุลการชำระเงินระหว่างประเทศ
( เอาเนื้อหาประเด็นที่ มาตอบ ) ว่าจะเกินดุล
ค่าเงินหยวนอ่อน จะทำให้ เงินทุนไหลออกจากอเมริกา เข้ามาลงทุนในประเทศจีนจำนวนมาก กรณีเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจีนจะอยู่ในช่วงการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งตามหลักการแล้วต้องสั่งนำเข้าเครื่องมือในการผลิตจากต่างประเทศ จะทำให้ขาดดุลบัญชีดุลชำระเงินระหว่างประเทศ แต่เมื่อหักกลบกับเงินทุนที่ไหลเข้าประเทศจีนแล้ว พบว่าเงินทุนที่ไหลจากอเมริกาเข้ามาในจีนมีมากว่า ดุลบัญชีชำระเงินระหว่างประเทศของจีนจึงเกินดุล
ประเด็นที่ 3 จีนควรดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนอย่างไร
 การเข้าไปแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนของจีน ให้ผันผวนได้แค่ 3 เปอร์เซ็นต์ ก็มีผลต่อระบบเศรษฐกิจไม่ต่างไปกับการใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบตายตัว ทำให้กลไกตลาดไม่ทำงาน เมื่อเกิดปัญหาด้านการขาดดุล หรือเกินดุล กลไกการปรับตัวอัตโนมัติของตลาดจึงไม่ทำงาน ทำให้ปัญหายิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น
 ดังนั้น จีนควรจะปลอยให้อัตราแลกเปลี่ยนมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อให้กลไกการปรับตัวอัตโนมัติของตลาดได้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ จะทำให้ลดการขาดดุลได้
 แนวทางเลือกของจีน
ขยายช่องว่างของการผันผวน ให้มีมากขึ้น เพื่อให้มีความยืดหยุ่น และกลไกตลาดได้ทำงานตามสมควร
ปล่อยค่าเงินให้ลอยตัว ให้กลไกการปรับตัวอัตโนมัติได้ทำงานอย่างเต็มที่
ข้อที่ 2
ประเด็นที่ 1 ค่าเงินดอลล่าอ่อน จะช่วยแก้ปัญหาการขาดดุลของอเมริกาได้
หรือไม่ อย่างไร
 เมื่อค่าเงินดอลล่าอ่อนตัวลง จะส่งผลกระทบให้ สินค้าที่นำเข้าไปในอเมริกา มีราคาสูงขึ้นอัตนโนมัติตามค่าเงินที่อ่อนตัว และเมื่อราคาสินค้าสูงการบริโภคก็จะลดลง ทำให้สามารถลดการนำเข้าได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งตามทฤษฎีแล้ว เมื่อการนำเข้าลดก็ย่อมลดการขาดดุลได้
 แต่ปัญหาการขาดดุลของอเมริกา ไม่ได้อยู่ที่การบริโภคสินค้าจากต่างประเทศมาก แต่เป็นเงินทุนที่ไหลออกจากอเมริกาไปต่างประเทศมาก โดยเฉพาะไหลไปที่ประเทศจีน ดังนั้น การที่ค่าเงินดดลล่าออนลงจึงไม่น่าจะทำให้การขาดดุลลดไปในทันที
 
ประเด็นที่ 2 การที่อเมริกาตั้งกำแพงภาษี จะส่งผลกระทบอย่างไร
 
 ก่อนอื่นต้องเข้าใจระบบการทำงานของการตั้งกำแพงภาษีก่อน ว่า
 หากรัฐตั้งกำแพงภาษี สินค้าที่นำเข้าจะมีราคาสูงขึ้น ทำให้ประชาชนไม่บริโภคสินค้านำเข้า แต่จะหันมาบริโภคสินค้าที่ผลิตในประเทศที่มีราคาถูกกว่าแทน จะส่งผลให้อุตสาหกรรมในประเทศเกิดการเจริญเติบโตมากขึ้น ทำให้ จีดีพี ในประเทศเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
 แต่ข้อเสียของการตั้งกำแพงภาษีก็คือ สินค้าจะราคาสูงขึ้น ทำให้ภาระตกไปอยู่แก่ผู้บริโภค ก็คือประชาชนนั่นเอง
ผลกระทบด้านการนำเข้าสินค้าจากจีน
 แน่นอนว่าเมื่อสินค้าที่นำเข้าจากประเทศจีนสูงขึ้น การบริโภคย่อมลดลง กานนำเข้าก็ย่อมลดลงตามไปด้วย
ผลกระทบด้านเงินเฟ้อในอเมริกา
 การตั้งกำแพงภาษีก็จะทำให้สินค้ามีราคาสูงขึ้น เมื่อราคาแพงขึ้นก็จะทำให้ความสามารถในการซื้อลด ดีมาน ลด
และเป็นการลดปริมาณสินค้านำเข้าด้วย เป็นการลดซัพพลายด้วย
 เมื่อพิจารณาจาก ดีมาน ก็ลด ซัพพลายก็ลด เหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่ปัจจัยที่จะส่งผลให้ราคาสินค้ามีการเปลี่ยนแปลง จึงไม่กระทบเงินเฟ้อในระบบ
ผลกระทบด้านปริมาณการผลิตสินค้าและบริการ
 การตั้งกำแพงภาษีทำให้สินค้านำเข้ามีราคาสูงขึ้น ประชาชนจึงหันมาบริโภคสินค้าที่ผลิตในประเทศที่มีราคาถูกกว่า ทำให้การผลิตสินค้าและบริการในประเทศมีสูงขึ้น
ผลการทบด้านการจ้างงาน
 การผลิตสินค้าในประเทศมีมากขึ้น การจ้างงานก็มากขึ้นตามไปด้วย

วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2558

แนวข้อสอบ รศ.6300

แนวตอบ อ.กิตติ
(ตัวอย่าง คำถาม ข้อสอบวันที่ 14 ม.ค 50 ลำพูน –พิษณุโลก)
ประเด็นคำถาม จากวิกฤตของสถาบันการเงินไทยที่นำไปสู่วิกฤต ศก.ไทย ให้ตอบคำถามโดยอ้างอิงความรู้ทางวิชาการและยกตัวอย่างเชิงประจักษ์)
 ข้อ1 วิกฤตสถาบันการเงินไทยมีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับวิกฤตศก.ไทยอย่างไร
 ข้อ2 ประสิทธิภาพของ ธปท.มีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับวิกฤตสถาบันการเงินไทยอย่างไร
ข้อ3 ประสิทธิภาพของสถาบันการเงินไทยมีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างไร
เกริ่นนำ (การเกริ่นนำอาจน้อยกว่านี้ อาจหาจากคำนำของหนังสือต่างๆหรือลองมีสไตล์ตัวเองก็ได้ครับ)
ในการบริหารงานของรัฐบาล เป้าหมายสุดท้าย(End)ที่ต้องการให้เกิดขึ้นคือความอยู่ดีกินดีของพี่น้องประชาชนภายในประเทศ โดยมีระบบเศรษฐกิจที่มีการเจริญเติบโตอย่างเหมาะสม เกิดการกระจายรายได้ มีเสถียรภาพ มีความยั่งยืนและมีความสมดุลกับภาคต่างๆ เช่นด้านสังคม ด้านวัฒนธรรม ด้านสิ่งแวดล้อม อย่างเหมาะสม การจะออกแบบให้เศรษฐกิจของประเทศให้มีลักษณะดังกล่าว การดำเนินนโยบายบริหารการเงินและการคลังที่มีประสิทธิภาพนับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น สำหรับวิกฤตเศรษฐกิจไทยที่เกิดขึ้นนับว่ามีความเกี่ยวข้องกับนโยบายดังกล่าวเช่นกัน โดยมีสาเหตุใหญ่ๆคือการขาดประสิทธิภาพของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)และการบริหารงานที่ไม่มีธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถาบันการเงินไทย ซึ่งวิกฤตทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทยเป็นอย่างยิ่ง ในที่นี้จะขอแยกตอบตามประเด็นคำถามของอาจารย์ดังนี้
1.ความสัมพันธ์และเกี่ยวข้อง ระหว่างวิกฤตการณ์สถาบันการเงินกับวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศ
วิกฤตการณ์ของสถาบันการเงินมีความความสัมพันธ์และเกี่ยวข้อง กับวิกฤตเศรษฐกิจไทยอย่างยิ่งกล่าวคือเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้น ทั้งนี้การเกิดวิกฤตของสถาบันการเงินไทยมาจากหลายสาเหตุได้แก่
1.1 การปล่อยสินเชื่อที่ไม่โปร่งใสภายใต้ระบบอุปถัมภ์ เช่นการปล่อยสินเชื่อของธ.กรุงเทพพาณิชยการโดยการประเมินราคาหลักทรัพย์ค้ำประกัน(ที่ดิน)เกินจริงเป็นการช่วยเหลือพวกพ้องที่เป็นนักการเมือง การปล่อยสินเชื่อของธนาคารหรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ให้แก่บริษัทลม(บริษัทในแผ่นกระดาษไม่มีตัวตนอยู่จริง) หรือการปล่อยเงินกู้ให้สูงกว่ามูลค่าโครงการของพรรคพวกเครือข่าย เป็นต้น
1.2 การจัดโครงสร้างองค์การที่ยังไม่ตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมใหม่ที่เปลี่ยนแปลง(ทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ)เช่นการวิเคราะห์ตัวบุคคลก่อนแล้วนำมาเขียนแผนภูมิการจัดองค์การให้เข้ากับบุคลากรดังกล่าว ซึ่งตามหลัก การจัดองค์การสมัยใหม่นั้นต้องเริ่มจากการวิเคราะห์งานก่อนแล้วนำมากำหนดแผนภูมิโครงสร้างองค์การให้เหมาะสม(Fit) จากนั้นจึงนำไปสู่การสรรหา คัดเลือกบุคลากรให้เหมาะสมกับงานต่อไป
1.3 การใช้เทคโนโลยีของสถาบันการเงินไทยเสียเปรียบสถาบันการเงินต่างประเทศ
1.4 ระดับความรู้และความสามารถของบุคลากรยังไม่เพียงพอต่อการแข่งขัน ภายใต้ระบบการค้าเสรี
1.5 ระบบข้อมูลและข่าวสาร ที่มีคุณภาพเพื่อการแข่งขันยังมีน้อย
1.6 การขยายการลงทุนไม่มีประสิทธิภาพ เช่นการขยายสาขาเกินความจำเป็น
ในที่นี้ขอยกตัวอย่างปัญหาจากเหตุดังกล่าวดังนี้ (ให้ยกตัวอย่างเล่มเหลืองหน้า119 – 121)
ซึ่งจากปัญหาที่กล่าวมาทำให้สถาบันการเงินในประเทศเกิดวิกฤตขึ้นและเมื่อสถาบันการเงินซึ่งเป็นหัวใจของภาคเศรษฐกิจประสบปัญหาก็ส่งผลต่อการค้าและการลงทุนในประเทศ การการชะงักงันของภาวะเศรษฐกิจ นอกจากนี้จากวิกฤติดังกล่าวรัฐบาลยังได้นำเงินของประเทศไปอุ้มสถาบันการเงินต่างๆไม่ให้ล้ม ซึ่งทำให้เกิดหนี้สาธารณะที่สูงที่เป็นตัวการสำคัญในการฉุดรั้งเศรษฐกิจของไทยจนถึงปัจจุบัน
2. ความเกี่ยวข้องของประสิทธิภาพธนาคารแห่งประเทศไทยกับประสิทธิภาพของสถาบันการเงินไทย
ธปท.โดยวัตถุประสงค์ขององค์การนั้นตั้งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ในการเป็นธนาคารให้แก่รัฐบาลและธนาคารพาณิชย์ในประเทศ กำกับตรวจสอบและดูแลการปฏิบัติงานและการดำเนินงานของธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆภายในประเทศ นอกจากนี้ยังต้องทำหน้าที่ในการวิเคราะห์และผลิตธนบัตรหรือออกธนบัตรใช้หมุนเวียนในประเทศ แต่เนื่องจากที่ผ่านมา ธปท.ทำงานไม่มีประสิทธิภาพจึงทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นในประเทศดังที่ปรากฏ ปัญหาที่สำคัญของ ธปท.ที่ผ่านมาได้แก่
2.1 การจัดโครงสร้างองค์การ ไม่ตอบสนอง ไม่สอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมอย่างเพียงพอและเหมาะสม และมีความเป็นระบบราชการมากเกินไป ทำให้ขาดความรวดเร็วและความคล่องตัว ตัวอย่างเช่น การแบ่งงานหรือการจัดองค์การที่ไม่ให้ความสำคัญกับฝ่ายวิชาการ กรณีที่การเปิดให้เงินทุนไหลเข้าโดยเสรีทั้งที่เป็นเรื่องใหม่แต่กลับไม่มีฝ่ายวิชาการศึกษาทบทวนว่านโยบายมีผลกระทบด้านใดบ้าง ทางเลือกการกำหนดนโยบายในอนาคตจะเป็นอย่างไร ซึ่งเมื่อไม่ได้ทำตรงนี้ทำให้ขาดข้อมูลในการตัดสินใจ จึงทำให้การใช้นโยบายมีความผิดพลาดดังกล่าว
2.2 ปัญหาด้านระบบบริหาร กล่าวคือมีการใช้ระบบบริหารแบบรวมศูนย์อำนาจมากเกินไป เป็นลักษณะแบบ วัน แมน โชว์ คือการตัดสินใจทั้งหมดอยู่ที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเพียงผู้เดียว
2.3 ปัญหาด้านภาวะผู้นำกล่าว คือ มีความแตกแยก ขาดความรักและความสามัคคีระหว่างผู้บริหารระดับสูง ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของแต่ละฝ่ายวางตัวลำบาก การประสานงานระหว่างฝ่ายจึงเป็นไปด้วยความล่าช้า นอกจากนี้ในการบริหารค่าตอบแทนก็ทำให้บุคลากรขาดแรงจูงใจในการทำงานกล่าวคือการพิจารณาความดีความชอบ มีการพิจารณาจากอายุงานมากกว่าพิจารณาตามความรู้ความสามารถ ซึ่งผิดหลักของการบริหารองค์การสมัยใหม่
2.4 ปัญหาการขาดความรู้ความสามารถของบุคลากร
2.5 ปัญหาด้านการใช้ข้อมูลข่าวสารเพื่อการบริหารไม่เพียงพอ ทำให้การตัดสินใจต่างๆเกิดจากความไม่รู้ข้อมูลที่รอบด้าน เช่น ข้อมูลด้านกลุ่มนักค้าเงิน กองทุนการเงินต่างๆ ทำให้เกิดความเสียเปรียบและเป็นการใช้ยุทธศาสตร์เชิงรับมากกว่า ทั้งนี้เนื่องจากขาดข้อมูลข่าวสารที่ดีพอนั่นเอง
2.6 ปัญหาการถูกแทรกแซงทางการเมืองทำให้ขาดอิสระในการตัดสินใจหรือไม่ได้ตัดสินใจเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนเป็นหลัก ทั้งนี้เนื่องจากผู้บริหารต้องการเอาใจนักการเมืองเพื่อความมั่นคงในตำแหน่งของตนมากกว่านั่นเอง
2.7 ปัญหาด้านการตรวจสอบ กำกับและดูแลสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่สำคัญอย่างยิ่งกล่าวคือฝ่ายที่มีหน้าที่ดูแลธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงิน มีความสับสน ขาดความรอบคอบ มีการสั่งการบ่อยครั้งในระยะติดๆกัน บางคำสั่งไม่สามารถปฏิบัติได้หรือบางครั้งคำสั่งใหม่ขัดกับที่เคยสั่งการก่อนหน้านั้น เมื่อมีการสอบถามกลับเพื่อความชัดเจน ถูกต้อง กลับไม่มีคำตอบที่ชัดเจน มีการบ่ายเบี่ยง ล่าช้าในการตอบ และหากตอบก็ตอบแบบไม่เป็นลายลักษณ์อักษรเพราะกลัวผูกมัด ซึ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการขาดความรับผิดชอบในการทำงานเป็นอย่างยิ่ง
จากสภาพปัญหาที่กล่าวมาทั้งหมดย่อมแสดงให้เห็นถึงการขาดความสามารถและการขาดประสิทธิภาพในการบริหารงานของ ธปท. ทั้งๆที่เป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญอย่างยิ่งของประเทศ แต่กลับขาดประสิทธิภาพดังกล่าว จึงย่อมส่งผลต่อคุณภาพในการดูแล กำกับและตรวจสอบหน่วยงานที่ดูแลต่ำ เปิดโอกาสให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินมีการบริหารการเงินอย่างไม่มีประสิทธิภาพ และไร้คุณธรรม โดยเฉพาะการปล่อยสินเชื่อที่ไม่โปร่งใส ไม่เหมาะสมกับหลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งได้ส่งผลเสียให้ระบบเศรษฐกิจจนถึงปัจจุบันนั่นเอง
3.ความสัมพันธ์และความเกี่ยวข้องของประสิทธิภาพของสถาบันการเงินกับชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน
 ประสิทธิภาพของสถาบันการเงินนับว่ามีความเกี่ยวข้องและความสัมพันธ์กับชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือมีบทบาทที่สำคัญใน 2 บทบาทได้แก่บทบาทในเชิงธุรกิจและบทบาทในการพัฒนาประเทศ โดยความจำเป็นที่จะต้องมีสถาบันการเงินขึ้นมานั้นมีเหตุผลดังนี้
3.1 เพื่อทำให้นโยบายการเงินของรัฐได้รับการตอบสนองอย่างเป็นระบบ เช่น หากรัฐบาลต้องการชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจเพื่อลดอัตราเงินเฟ้อก็จะมีการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สูงขึ้น สถาบันการเงินก็จะนำไปปรับอัตราดอกเบี้ยของตนให้สูงตาม ทำให้ลดปริมาณเงินในระบบลง ช่วยลดอัตราเงินเฟ้อ หรือ หากรัฐต้องการส่งเสริมการออมในประเทศ สถาบันการเงินก็จะสร้างระบบเงินฝากพิเศษขึ้นเพื่อตอบสนองต่อนโยบายดังกล่าว เป็นต้น

อ.กิตติ รศ.6300


อ.กิตติ
 เกริ่นนำ
o การบริหาร ใกล้ชิดกับคำว่าอะไรบ้าง
• วิธีการ จะบริหารอะไรต้องมีวิธีการ
• การวางแผน มีการวางแผนล่วงหน้า
• เทคนิค หรือ ความฉลาด มาจาก B of K = Body of Knowledge คือ ต้องมีความรู้
• ฯลฯ
o การเงิน หรือ นโยบายการเงินเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง
• อัตราดอกเบี้ย
• อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ
• ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ
• เช่น ตอนนี้ทั้งประเทศมีธนบัตรและเหรียญเงินทั้งหมดประมาณ ๖๘๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน และระหว่างองค์การต่างๆ เนื่องจากสิ่งของทุกอย่างที่จะแลกเปลี่ยนต้องมีการประเมินค่าได้ และแลกเปลี่ยนโดยใช้สื่อกลาง
• แต่ละประเทศจะพิมพ์เงินออกมาได้ จะต้องมีทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศมาสนับสนุนอย่างเพียงพอ (หมายถึงมีเงินตราต่างประเทศอยู่เท่าไหร่ มีทองคำอยู่เท่าไหร่)
• เงินตราต่างประเทศได้มาจากการส่งออกหรือจากการที่คนมาท่องเที่ยว ซึ่งเราจะได้เงินต่างประเทศเข้ามา ซึ่งต้องมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะได้มาจากการที่คนที่มาในไทย เมื่อต้องการแลกคืน ต้องสามารถแลกคืนได้ ตอนนี้ไทยมีประมาณ ๑๒๐,๐๐๐ ล้านเหรียญดอลล่าร์
o การคลัง หรือนโยบายการคลัง
• งบประมาณรายรับ ได้มาจากการจัดเก็บภาษี (สรรพากร/ศุลกากร/สรรพสามิต)
• งบประมาณรายจ่าย แบ่งได้เป็น ๒ หมวดยอดฮิต ได้แก่ งบลงทุน (บางครั้งเรียกว่า งบพัฒนา) และ งบประจำ
• งบลงทุน จะลงทุนไปในทรัพย์สินถาวร เช่น ถนน ตึกรพ.รัฐ รร.รัฐ เครื่องจักรอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในราชการ ลงทุนแล้วใช้ได้นาน ก่อให้เกิดการขยายงานพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเปรียบกับในบ้านก็เหมือนซื้อคอมพิวเตอร์
• งบประจำ เช่น เงินเดือนข้าราชการ ค่าไฟฟ้า ค่าประปา ค่าเครื่องเขียน แบบพิมพ์ เป็นงบที่ใช้แล้วสิ้นเปลืองหมดไป รายวัน รายเดือน รายปี ถ้าเปรียบกับในบ้านก็เหมือนซื้อ สบู่ ยาสีฟัน กาแฟ
• หนี้สาธารณะ (Public Debt)
• ลำพังภาษีไม่ต้องใช้ก็ต้องกู้ โดยออกพันธบัตรรัฐบาล (ยืมเงินประชาชน แต่ไม่ต้องทำสัญญาทีละฉบับ) ซึ่งก็คือ การก่อหนี้สาธารณะ นับเป็นงบประมาณรายรับได้ คือ เป็นรายรับจากการกู้ยืม แต่เมื่อถึงครบกำหนดอายุพันธบัตร ก็ต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายไว้สำหรับชำระหนี้คืน
• หนี้สาธารณะ จึงเป็นได้ทั้ง งบประมาณรายรับ และงบประมาณรายจ่าย
• นอกจากพันธบัตร ยังอาจมีการกู้เงินจากรัฐบาลต่างประเทศ หรือทำพันธบัตรไปขายต่างประเทศ หนี้สาธารณะจึงเป็นได้ทั้งหนี้ในประเทศและหนี้ต่างประเทศ
• ต้องมี สาธารณะ ต่อท้าย เพราะ กู้เงินมาสร้าง รร. เพื่อให้ “สาธารณชน” ได้ประโยชน์ และ “สาธารณชน” ต้องเป็นคนจ่ายหนี้สาธารณะนั้น การชำระหนี้ทำได้อย่างไร ชำระทางภาษีมูลค่าเพิ่มเวลาเราไปซื้อสินค้า ถ้าไม่พอก็ต้องมีการเก็บภาษีมรดก ภาษีทรัพย์สิน ๔-๕ ปี ที่ผ่านมามีการพูดถึงเรื่องนี้เยอะ เพราะว่าหนี้สาธารณะมีจำนวนเยอะขึ้น
o ขอบข่ายวิชานี้ จึงเป็นการทำงบประมาณรายรับ รายจ่าย การวางแผนหนี้สาธารณะ มีเทคนิคในการจัดการอัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน
o เรียนวิชานี้เพื่ออะไร ทำไมนักบริหารไทย จึงต้องมีองค์ความรู้ในวิชานี้
• เราเป็นนักบริหารอยู่ในองค์การ เรื่องคนก็พอทำได้ การเงินรู้แค่ประหยัดรายจ่ายหารายได้ให้มาก การจัดการก็ใช้ประสบการณ์ทำไปได้ ในองค์การของเราเราจึงพอจะมีความสามารถที่จะจัดการมันได้เพราะอยู่กับมันทุกวัน มีประสบการณ์
• แต่สิ่งที่นักบริหารไทยสู้นักบริหารนานาชาติไม่ได้ เช่น เศรษฐกิจที่มาจากภายนอกองค์การ ไม่รู้ว่ามันสร้างโอกาสหรือข้อจำกัดให้กับเรา เช่น ภาวะเงินเฟ้อเงินฝืด หมอไทยไม่เข้าใจ พอต้องบริหารจึงบริหารไม่ได้ งบปี ๕๔ จะขาดดุลอีก ๔๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งก็ต้องสร้างหนี้สาธาระเพิ่ม แล้วจะบอกว่าเศรษฐกิจฟื้นได้อย่างไร เราต้องมองให้ออกว่ามันเป็นโอกาสหรือข้อจำกัด เช่น ถ้าอยู่ในกรม เห็นงบขาดดุล แสดงว่าเตรียมตัวโดนตัดงบฯ ถ้าเป็นเอกชนก็อาจจะต้องไม่ตัดสินใจขยายงาน แต่ถ้าเห็นงบแบบสมดุล แสดงว่าเริ่มมีโอกาสเกิดขึ้นแล้ว
• นักบริหารต้องดูสิ่งแวดล้อมภายนอกให้เป็น คือ ดูสภาพแวดล้อมภายนอก ซึ่งเราควบคุมไม่ได้ แต่ต้องดูให้ออกว่า เป็นโอกาส หรือเป็นอุปสรรคกับองค์การของเรา
• วิชานี้จึงเป็นวิชาที่ให้เราเรียนรู้เรื่องสภาพแวดล้อมภายนอกอีกตัวนึง เพื่อให้เราดูให้ออกวิเคราะห์ให้ได้ว่าสภาพแวดล้อมนั้นจะสร้างโอกาสหรืออุปสรรคให้กับองค์การของเรา ถ้าเห็นโอกาส ก็ต้องคิดกลยุทธ์เชิงรุกไปรับโอกาสนั้น ถ้าเห็นข้อจำกัดก็ต้องคิดกลยุทธ์ตั้งรับ หรือมาตรการรองรับผลกระทบเชิงลบของสภาพแวดล้อมให้ได้
• เช่น ปีนี้ดอกเบี้ยจะขึ้น นับเป็นข้อจำกัดของบริษัทที่ต้องกู้เงิน ถ้าดอกเบี้ยจะลง นับเป็นโอกาส
 ภาพสรุปรวมความเข้าใจของวิชานี้
o เวลาเรามองเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร อะไรคือปัจจัยสาเหตุที่เศรษฐกิจแต่ละประเทศแตกต่างกัน คำตอบคือ นโยบายการเงิน นโยบายการคลัง นโยบายการเงินการคลังเป็นตัวแปรต้น (เหตุ) สภาพเศรษฐกิจเป็นตัวแปรตาม (ผล) ถ้าอยากรู้ว่าสภาพเศรษฐกิจฟินแลนด์ทำไมถึงดี ต้องเอานโยบายการเงินการคลังของฟินแลนด์ย้อนหลังไปสักสิบปีมาดูจะทำให้เข้าใจได้
o นโยบายการเงินที่ผลิตออกมาคุณค่าเป็นแค่ผลผลิต (output) ขึ้นอยู่กับหน่วยที่เอานโยบายการเงินไปปฏิบัติ หน่วยเหล่านั้นได้แก่ ธนาคารกลาง (ของไทยคือ ธปท. หรือธนาคารแห่งประเทศไทย) และสถาบันการเงินต่างๆ ที่จะเป็นผู้นำนโยบายไปปฏิบัติ ว่ามีประสิทธิภาพหรือไม่มีประสิทธิภาพ ถ้าไม่มี ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ (economic outcome) ก็จะเป็นลบ ถ้ามีประสิทธิภาพก็จะมีผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจก็จะเป็นบวก
o นโยบายมีคุณค่าแค่ผลผลิต ก็เหมือนให้ผลิตนโยบายการเป็นนศ.ป.โทที่ดี ซึ่งทุกคนทำได้เต็มสิบแน่นอน แต่เกรดหรือผลลัพธ์ของการเรียนจึงแตกต่างกันเพราะประสิทธิภาพในการนำนโยบายไปปฏิบัติของนศ.แต่ละคนไม่เหมือนกัน การบริหารเน้นผลลัพธ์มากกว่าผลผลิต เพราะผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของผู้นำนโยบายไปปฏิบัติ ธนาคารกลางของเยอรมัน กับธนาคารกลางของไทย เก่งไม่เท่ากัน ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจของสองประเทศจึงไม่เท่ากันอ.กิตติ/2
เศรษฐกิจเกิดปัญหา ผลกระทบ (Impact) เกิดกับประชาชน นักบริหารจึงต้องไม่งมงายอยู่กับผลผลิต แต่ต้องมุ่งที่ผลลัพธ์กับผลกระทบ ผลลัพธ์ต้องเป็นบวกเยอะๆ ผลกระทบแง่ลบต้องมีน้อยๆ
o ตัวอย่างการขาดประสิทธิภาพด้านการเงินของประเทศไทย
• กรณีธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ (BBC) ตุลา ๓๗ มีข่าวออกมาแล้วว่าสภาพไม่ดี แต่ไม่มีการจัดการอะไรเลย มีแต่ช่วยกันปิด จนเรื่องแดงออกมาในปี ๓๙ รัฐและธปท.ตัดสินใจผิดโดยการเอาเงินเข้าไปอัดฉีด ๑๖๐,๐๐๐ ล้านบาท เหมือนให้คีโมกับซากศพ ให้เลือดกับซากศพ แล้วในที่สุด BBC ก็ต้องตายไปอยู่ดี เงินที่อัดฉีดไป ๑๖๐,๐๐๐ ล้านบาท ก็ต้องมาเข้าบัญชีหนี้สาธารณะของประเทศ เป็นการโอนความเสียหายจากธนาคารกลางมาให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการคลังก็ต้องเอามาใส่หนี้สาธารณะ หนี้สาธารณะมากก็ต้องขึ้นภาษี คำถามคือ ความเสียหายของธนาคารเอกชน เกี่ยวอะไรกับประชาชนทั่วไปด้วย
• หนี้สาธารณะ โดยปรัชญา ต้องก่อเพื่อเป็นงบลงทุน เหมือนเปียแชร์ซึ่งเป็นการก่อหนี้ ถ้าเอาไปแทงหวย ก็ไม่เกิดผล แต่ถ้าเอามาผ่อนแท๊กซี่ไว้หารายได้ ก็สามารถหาเงินมาคืนได้ หนี้สาธารณะที่ก่อต้องเอาไปใช้ลงทุนเพื่อให้สาธารณชนในอนาคตได้ใช้ เช่น มีรร.ให้เด็กในอนาคต และเด็กในอนาคตก็ต้องเป็นคนจ่ายเงินนั้น การที่เด็กจ่ายเงินนั้นก็ถูกต้องถ้าเค้าได้มีสินทรัพย์ไว้ใช้ หนี้สาธารณะเป็นหนี้ระยะยาวและเป็นทรัพย์สินระยะยาว เพราะฉะนั้นหนี้สาธารณะต้องใช้เพื่องบลงทุน ห้ามเอามาใช้เป็นงบประจำ
• หนี้สาธารณะ โดยปรัชญา เป็นตัวฉุดเศรษฐกิจ เปรียบเหมือนนักโทษในคุก บางคนเดินไปข้างหน้าได้ช้า บางคนเดินได้เร็ว ขึ้นอยู่กับขนาดของโซ่ตรวน นักโทษคือเศรษฐกิจ จะเดินไปข้างหน้าได้เร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับขนาดของหนี้สาธารณะ หนี้สาธารณะของประเทศไทยในปี ๓๙ มีถึง ๙๐๐,๐๐๐ ล้านบาท (อ.คิดตามหลักการว่าไม่ควรเกิน ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท) เหมือนคนที่มีเงินเดือน ๙,๐๐๐ บาท แต่มีหนี้ ๒๓ ล้านบาท
• ยังไม่ช่วย BBC มีหนี้ ๙๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ปี ๔๐-๔๑ รวมการช่วยเหลือสถาบันการเงินทั้งหมด ๑,๖๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ปี ๔๔ หนี้สาธารณะขึ้นมาเป็น ๒,๘๐๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยที่ไม่มีการลงทุนทรัพย์สินใดๆ เลย ม.ค.๕๓ มีหนี้สาธารณะ ๓,๖๐๐,๐๐๐ ล้านบาท มาจากรับหนี้นอกระบบมาอีกแสนกว่าล้านบาท เช็คช่วยชาติ ฯลฯ
• เศรษฐกิจไทยจะแย่ถึง ๕๘ เพราะไทยสร้างหนี้สาธารณะเกินขอบเขต
• มิ.ย.๕๒ ขอกู้เพิ่ม ๑,๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท คือ ขอขอบเขตกู้เพิ่มในอนาคต (ยังไม่รวม ม.ค.๕๓ อีก ๓,๖๐๐,๐๐๐ ล้านบาท) เท่ากับว่าเรามีโอกาสมีหนี้สาธารณะได้ถึง ๔,๗๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ทำให้ต้องมีการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพื่อมาล้างหนี้ ปีละ ๑๕๐,๐๐๐ ล้านบาท ถ้าไม่ต้องจ่ายหนี้สาธารณะก้อนนี้ จะสามารถสร้าง รพ.รัฐ / รร.รัฐ ได้อีกมากเท่าไหร่ นอกจากนี้ ๑๕๐,๐๐๐ ล้านบาทนั้น สามารถชำระหนี้ได้เพียง ๓๐,๐๐๐ ล้านบาทต่อปี
• การไม่ปล่อยให้ BBC ตาย เท่ากับทำให้ตายหมู่ เพราะเป็นการโอนความเสียหายจากภาคการเงินมาไว้ที่ภาคการคลัง และส่งต่อมาให้สาธารณะ ปัญหาของ BBC จึงไม่ใช่ปัญหาของ BBC แต่เป็นปัญหาของประสิทธิภาพในการบริหารของธปท. เพราะธปท.เลือกเข้าไปช่วยสถาบันการเงินทั้งหมด รวมทั้งบริษัทเงินทุนทั้ง ๙๐ กว่าแห่ง แต่ ๕๖ แห่งตายไปพร้อมกัน คำถามคือ บริหารยังไงถึงทำให้บริษัทเงินทุนตายพร้อมกันได้ ทั้งที่อัดฉีดเงินเข้าไปตั้งมากมายแล้ว การทำอย่างนี้จึงเป็นการตัดโอกาสของประชาชนในการได้รับการพัฒนาประเทศ
• จริงๆ ด้วยมูลหนี้ปัจจุบัน ต้องขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว แต่ไม่มีใครกล้าขึ้น เพราะกลัวแพ้การเลือกตั้งในครั้งหน้า
• ธปท.นำนโยบายไปบริหารผิดพลาด ผลกระทบจึงตกที่ประชาชน
• อีกตัวอย่าง ได้แก่ ปัญหาสินเชื่อบัตรเครดิต เป็นปัญหาที่เกิดจาก กติกาเบี่ยงเบน ซึ่งเป็นเพราะ ธปท.ดูแลไม่ดี จนบัตรเครดิตมีง่ายเกินไป มีบัตรเครดิตใช้อาจจะดี แต่ต้องดูว่าเหมาะสมหรือไม่
• อุปสงค์แท้ คือ พร้อมจะบริโภค แต่อุปสงค์เทียม คือ ไม่พร้อมที่จะบริโภค แต่ได้บริโภคเพราะว่าบัตรเครดิต อุปสงค์มาแรง แต่อุปทานตามไม่ทัน ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ แย่งกันกินแย่งกันใช้ ราคาสินค้าจึงเพิ่มขึ้น ปี ๓๗-๓๙ เงินเฟ้อไทยขึ้นไปถึง ๗-๑๐ เปอร์เซ็นต์ (มาตรฐานโลก เกิน ๕ เรียกว่าบ้า)
• เศรษฐกิจไทยเจ๊งปี ๔๐ เพราะอีกปัจจัยคือ อัตราเงินเฟ้อ ซึ่งเกิดจากสินเชื่อบัตรเครดิต ก่อน ๔๐ คนใช้บัตรเครดิต ๖๐,๐๐๐ ล้าน ปี ๔๑-๔๒ เหลือแค่ ๒๙,๐๐๐ ล้าน แสดงว่า ที่หายไปกว่า ๔๐,๐๐๐ ล้าน เป็นอุปสงค์เทียม
• คนไทย ๔๔ ล้านคน มีรายได้เข้า มีรายจ่ายออก แต่คนไทยอีก ๒๐ ล้านคน มีแต่รายจ่ายออก ไม่มีรายได้เข้า ทำให้เศรษฐกิจจุลภาคเสีย จุลภาคเสีย มหภาคก็จะเสียไปด้วย กรณีของไทย ๔๔ ล้านคนหาเลี้ยง ๒๐ ล้านคนไปด้วย
• ธปท. เคยเปลี่ยนกติกา มาใช้ ๒๐,๐๐๐ บาท/เดือน ๒๒ ปีขึ้นไป แต่ใช้ได้แค่ ๓ ปี ก็ลดลงมาเหลือ ๘,๐๐๐ บาท เพราะโดนกดดันจากภาคธุรกิจการผลิต เนื่องจากขายสินค้าไม่ได้ เพราะอุปสงค์เทียมมันหายไป แต่ใช้ได้ ๓ เดือนก็ต้องเปลี่ยนเป็น ๑๕,๐๐๐ บาท เพราะครม.สั่งให้เปลี่ยน
• ประเทศไทยปัจจุบันใช้ทฤษฎีเคนเชียน ในกรณีที่หนี้สาธารณะเยอะขนาดนี้ ไม่มีผลดีเกิดขึ้น
• หลักภาษีที่ดี ต้องเท่าเทียม (equity) ไทยกลับเอาเงินภาษีกว่า ๖-๗ แสนล้านมาลงทุนทำรถไฟฟ้าใน กทม. ซึ่งขาดทุนมาต่อเนื่องเป็น ๑๐ ปี และคนที่ได้ประโยชน์ก็มีเพียงคนใน กทม.ไม่กี่คน (เมื่อเทียบกับทั้งประเทศ)
• เศรษฐกิจพังเองไม่ได้ ต้องมีคนกระทำ ปัญหาอาจไม่ใช่การเจตนาทุจริต แต่เป็นเพราะการบริหารงานที่ผิดพลาด (miss management)
o นโยบายการคลังที่ผลิตออกมา คุณค่าก็แค่ผลผลิตเช่นกัน ขึ้นอยู่กับหน่วยงานที่นำนโยบายนั้นไปใช้ ได้แก่ กรมเก็บภาษี (ด้านรายรับ) และกระทรวงทบวงกรมต่างๆ (ด้านรายจ่าย) ถ้านำไปปฏิบัติไม่มีประสิทธิภาพ ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจก็เป็นลบ
o ตัวอย่างการขาดประสิทธิภาพด้านการคลัง
• การใช้จ่ายเงินงบประมาณ ใส่งบประมาณเข้าไป ๑๐๐ ผลผลิตควรจะต้องคุ้มค่า แต่ปัจจุบันไม่คุ้ม เช่น GT200 ซื้อมา ๑ ล้าน มูลค่า ๕๐๐ บาท แถมไม่รู้ว่าเกิดผลลัพธ์หรือไม่ ใส่เงิน ๑๐๐ ล้าน ได้ ๖ กม. (มาตรฐานควรได้ ๗.๘ กม.) แถมผลลัพธ์คือ ความพึงพอใจของประชาชน ดูจากการที่ประชาชนไม่มาใช้ แถมใช้แล้วพังเร็ว แสดงว่าไม่คุ้ม หรือสวนสาธารณะที่มีไว้ให้โจรดักปล้นเพราะแสงไฟไม่เพียงพอ
• รูปแบบของงบประมาณที่ใช้ กับที่เกิดขึ้นจริง ไม่ตรงกัน
• เวลาที่เกิดเงินเฟ้อ แสดงว่าในตลาดมีเงินมาก ท้องเฟ้อต้องเอาลมออก เงินเฟ้อก็ต้องเอาเงินออก โดยการตั้งงบประมาณรายรับให้สูงกว่ารายจ่าย (รายรับ ๑๐๐ จ่าย ๘๐) คือ เรียกภาษีสูงกว่างบประมาณที่จะใช้ ซึ่งก็คือการตั้งงบประมาณเกินดุล
• เวลาที่เกิดเงินฝืด ประตูฝืดต้องใส่น้ำมัน เงินฝืดก็ต้องใส่เงิน โดยการตั้งรายจ่ายให้สูง รายรับให้ต่ำ (รายรับ ๘๐ จ่าย ๑๐๐) เรียกว่างบประมาณแบบขาดดุล
• ส่วนจะเอาเงินใส่หรือจะเอาเงินออกมากเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมในเวลานั้นๆ และการตั้งเป้าหมายทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน
• ในเวลาที่เศรษฐกิจปกติ ไม่เฟ้อไม่ฝืด ให้ใช้งบประมาณแบบสมดุล (รับ ๑๐๐ จ่าย ๑๐๐) มีแค่ปี ๔๗-๔๘ ที่ใช้แบบนี้ได้ ซึ่งไม่ได้แปลว่าเศรษฐกิจดี แต่แค่พอใช้ได้
• ปี ๓๘-๒๙ งบประมาณที่ตั้งไว้จ่ายได้จริงแค่ประมาณ ๗๕ เปอร์เซ็นต์ (ปีที่ปฏิวัติได้เพียง ๕๐) รายรับเก็บเกินเป้าเฉลี่ย ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ต่อปี ปัญหาคือ จากเดิมเคยตั้งใจจะเกินดุล ๒๐,๐๐๐ ล้าน กลายเป็นเกินดุล ๖๐,๐๐๐ ล้าน ผิดเป้า หรือตั้งใจให้ขาดดุล ๒๐ แต่กลายเป็นเกินดุล ๒๑
• ทางทฤษฎีมีขาดดุล เกินดุล สมดุล แต่ทางปฏิบัติมีแต่เกินดุล เกินดุล เกินดุล เพราะว่ากรมเก็บภาษีคิดว่าเก็บได้เกินเป้าคือมีประสิทธิภาพ กรมใช้เงินคิดว่าใช้ได้น้อยคือมีประสิทธิภาพ ทำให้นโยบายที่วางไว้ผิดพลาดไป เป้าหมายจึงผิดพลาด ควรขาดดุลเพื่อเอาเงินเข้าระบบ แต่กลายเป็นเกินดุลคือเอาเงินออกจากระบบตลอดเวลา
o เศรษฐกิจไทยพัง เพราะพลาดทั้งฝั่งการเงิน และฝั่งการคลัง คราวนี้พังตั้งแต่ต้น ๔๙ ก่อนปฏิวัติ เพราะฉะนั้น เศรษฐกิจพังไม่ใช่เพราะปฏิวัติ เศรษฐกิจพังไม่ใช่เพราะสหรัฐพัง ของไทยเศรษฐกิจไทยพังมาปี ๔๐ ปี ๔๗ มะเร็งหลบใน มองไม่เห็นมะเร็ง แต่ร่างกายยังอ่อนแออยู่ภายใน ปฏิวัติเหมือนโดนไม้ตีหัวซ้ำครั้งแรก สหรัฐเจ๊งเป็นไม้ตีหัวครั้งที่สอง ร่างกายที่อ่อนแอแต่ดูเหมือนแข็งแรงเพราะมะเร็งหลบในจึงทรุดลงไป
o การวิเคราะห์ในระบบเปิด
• วิเคราะห์แบบนี้เป็นแค่แบบระบบปิด เพราะดูแค่นโยบายการเงินการคลังและระบบเศรษฐกิจเท่านั้น เป็นมุมมองแคบ จะเปิดได้ต้องเอาปัจจัยทางระบบสังคมเข้ามาด้วย เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจไทยไม่ต้องโตมาก แต่ระบบสังคมไปได้ ก็ถือว่าโอเคแล้ว แต่ถึงแม้เศรษฐกิจดีก้าวหน้าก้าวไกล แต่สังคมล่มสลาย ก็ไม่มีประโยชน์ เช่น เศรษฐกิจไทยโต แต่เด็กติดยาบ้า เด็กติดเกมทั้งประเทศ ปัญหาเหล่านี้ทำให้ต้นทุนทางสังคม (Social cost) สูง
• เศรษฐกิจไทยไปได้ สังคมอยู่ได้ แต่การเมืองล่มสลาย เช่นในปัจจุบัน ก็ไม่ได้ เพราะสุดท้ายการเมืองเละเทะก็ไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจดีได้ เช่น ที่ไต้หวัน ที่เศรษฐกิจเริ่มทรงตัว และตกต่ำ เพราะการเมืองเละเทะ สส.ตบตีกันทุกสัปดาห์
• นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยก้าวหน้าก้าวไกล แต่วัฒนธรรมล่มสลาย สิ่งแวดล้อมถูกทำลาย วัฒนธรรมไม่ใช่กระบวนการต่างๆ ในพิธีกรรม เพราะเหล่านั้นเป็นแค่กุศโลบาย แต่คุณค่าของวัฒนธรรม คือการรวมศูนย์ใจคนไทยไว้ต่อสู้กับวิกฤตต่างๆ ประเทศที่มีวัฒนธรรมแข็งแกร่ง จึงสามารถเผชิญกับวิกฤตต่างๆ ได้ดีกว่า เช่น เกาหลีใต้ ที่มีวัฒนธรรมแข็งแกร่ง (เซมาอึนอุนดง หล่อหลอมสามัคคีในชาติ) ทำให้เกาหลีสามารถออกจากวิกฤตเศรษฐกิจได้ก่อนไทย โดยที่ประชาชนเกาหลีเอาทองคำมาให้รัฐบาลกู้ เพื่อมาเป็นหลักประกัน หรือทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ ไม่ต้องกู้ไอเอ็มเอฟ ใช้เวลาแค่ ๑ ปี ๗ เดือนก็ออกจากวิกฤติได้ เพราะฉะนั้นออกแบบเศรษฐกิจต้องออกแบบวัฒนธรรมให้สอดคล้องกัน
• เศรษฐกิจจะเติบโตปานใด แต่ถ้าสิ่งแวดล้อมถูกทำลายย่อยยับก็ไม่เกิดประโยชน์ เผลอๆ ต้นทุนในการบูรณะฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมจะสูงกว่าความเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยซ้ำ เช่น มาบตาพุดที่มีปัญหามากว่า ๑๕ ปี จนต้องย้ายโรงเรียนหนี เพราะเด็กกว่า ๘๐ เปอร์เซ็นต์มีปัญหาสุขภาพทั้งทางเดินหายใจและผิวหนัง หรือ โรงไฟฟ้าแม่เมาะ ที่มีปัญหาจนหมู่บ้านต้องย้ายหนีเช่นกัน หรือคลองแสนแสบที่ถ้าจะบูรณะต้องใช้ถึง ๒๐,๐๐๐ กว่าล้านบาท แพงกว่าความเติบโตของเศรษฐกิจสองฝั่งคลองแสนแสบ เพราะฉะนั้นเราต้องไม่ละโมบทางเศรษฐกิจมากเกินไป ธุรกิจต้องไม่คิดแต่มุมมองทางธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมองความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย
อ.กิตติ/3
3วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี “การออกแบบพัฒนาเศรษฐกิจที่ตกอยู่ภายใต้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแบบพึ่งพา จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตแบบไม่ยั่งยืน”
• บัญชีเดินสะพัด ใช้ในการเก็บสะสมยอดได้เงินตราระหว่างประเทศ (+) และเสียเงินตราระหว่างประเทศ (-) ได้เงินตราจากส่งของออกไปขาย คนต่างประเทศมาเที่ยวบ้านเรา รับบริจาคซึนามิ เสียจากไปเที่ยวบ้านเขา สั่งเครื่องจักรเข้า สั่งรถยนต์เข้า บริจาคให้ติมอร์ตะวันออก ดุลบัญชีเงินสะพัดของไทยติดลบมา ๓๐-๔๐ ปีแล้ว จากการนำน้ำมัน นำก๊าซ นำเครื่องจักรเข้า และมากที่สุดในปี ๓๙ ติดลบไปถึง -๘.๒ เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี (มาตรฐานไม่ควรติดลบเลย) เหมือนคนค้าขาย ไม่ควรปล่อยให้ขาดทุนเลย ยิ่งขาดทุนสะสม ๓๐-๔๐ ปี เศรษฐกิจจะทนไหวได้อย่างไร
• หนี้สาธารณะมีมาก ต้องหาทางเพิ่มรายได้มาล้างหนี้ แผนการหาเงินของรัฐบาลยังไม่มี แสดงออกได้ทางบัญชีเดินสะพัด คือ แนวทางการค้าขายทำกำไรให้กับประเทศ แต่ถ้ายังหาเงินไม่ได้ ส่งออกน้อยกว่านำเข้า ยึดสนามบินไปเรื่อยๆ เงินไม่เข้าประเทศ มีแต่เงินออก บัญชีเดินสะพัดก็จะลบไปเรื่อยๆ ปี ๔๕-๔๖ ดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นบวกจนคนดีใจทั้งประเทศ แต่ต้องดูไส้ในด้วย ปี ๔๔-๔๕ เศรษฐกิจยังไม่ดี ยอดส่งออกยังลดลงอยู่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไปด้วยคือ ยอดนำเข้าลดลงมากกว่า เพราะคนต่างประเทศไม่ยอมส่งของมาขายเพราะเห็นว่าประเทศไทยมีวิกฤตเศรษฐกิจอยู่จึงไม่มั่นใจ เพราะฉะนั้นยอดนำเข้าจึงลดลงมาก ยอดนำเข้าลดลงมากกว่ายอดส่งออกลดลง ทำให้บัญชีเดินสะพัดจึงเป็นบวก
• เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจะเติบโต แต่เติบโตบนเศรษฐกิจแบบพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ก็จะทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดติดลบต่อไปเรื่อยๆ เศรษฐกิจก็จะไม่มีเสถียรภาพ ตลาดผลไม้ของไทยส่งออกได้ปีละประมาณ ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท แต่เครื่องจักร ๒ เครื่องเพื่อใช้ในโรงเหล็กรีดร้อน ราคา ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท ประเทศไทยใช้แรงเยอะใช้หัวน้อย ต่างกับต่างชาติที่ใช้หัวเยอะใช้แรงน้อย เพราะฉะนั้นถ้าจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ ไทยต้องมีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง โดยอาจตั้งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งชาติแล้วเอาเด็กตั้งแต่ ๕ ขวบมาเรียน เพราะว่าระบบการศึกษาแบบเดิมของไทยใช้การไม่ได้
• ไทยไม่หาทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศโดยการพึ่งพาการค้าขายหรือเทคโนโลยี แต่ไปเลือกใช้วิธีการให้ต่างชาติมาลงทุนตั้งโรงงานรถยนต์
• การที่เศรษฐกิจของไทยจะยั่งยืนหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าไทยมีเทคโนโลยีเป็นของตัวเองหรือไม่ โดยกระทบผ่านทางดุลบัญชีเดินสะพัด
o ออกแบบให้สมดุลได้อย่างไร
• นโยบายการคลัง ออกแบบให้สมดุลกับ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเศรษฐกิจ เช่น บริษัทไหนจ่ายเงินค้นคว้าวิจัยพัฒนาสินค้าไปเท่าไหร่ ให้สามารถเอาค่าใช้จ่ายในการค้นคว้าวิจัยมาลดหย่อนภาษีให้สองเท่า เพราะถ้าวิจัยสำเร็จ ส่งออกได้มาก บัญชีเดินสะพัดติดบวก เศรษฐกิจไทยก็เจริญ ต้องให้เอกชนทำเพราะรอรัฐไม่ได้ กท.วิทย์มีงบแค่ ๐.๐๐๐๑ เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีเท่านั้น (สวิสฯ ให้ ๓ เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี ทำให้มีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสูง ทำให้จีดีพีสูง) (อ่านหน้า ๒๙-๓๑ ของหนังสือ วิสัยทัศน์ฯ)
• การออกแบบทุกอย่างต้องคำนึงถึงกระแสคิดของสังคมโลก (Globalization) คือ รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง เช่น นโยบายการเงินของไทยต้องดูกระแสการรวมสกุลเงินตราของยุโรป เพราะถ้ารวมกันจะกระทบกับอัตราแลกเปลี่ยน ต้องออกแบบนโยบายการเงินให้เหมาะสม ต้องสนใจเรื่องสิทธิศักดิ์ศรีของความเป็นคนในกระแสโลก ยุโรปกับออสเตรเลียให้ศักดิ์ศรีคนทุกคนเท่าเทียมกัน ตอนนี้มีรัฐสภายุโรป แล้วรัฐสภาแต่ละประเทศเหมือนเป็นสาขา มีรัฐธรรมนูญเดียว รวมกันทั้งเศรษฐกิจ การเมือง เพื่อความอยู่รอด
 ภาพรวมของสถาบันการเงิน
o สถาบันการเงินเป็นตัวจักรหรือกลไกที่สำคัญในระบบเศรษฐกิจ ถ้ารถไฟทั้งขบวนคือระบบเศรษฐกิจ หัวรถจักรคือสถาบันการเงิน รถยนต์จะวิ่งได้ต้องมีเครื่องยนต์ เครื่องยนต์คือสถาบันการเงิน
o ความจำเป็นที่ต้องมีสถาบันการเงิน (หน้า ๓๓-๓๔)
• สนองตอบต่อนโยบายการเงินของรัฐ (หน้า ๓๓)
• เงินในประเทศมี ๒ ก้อน ได้แก่ เงินออม (เงินฝาก Saving) และ เงินลงทุน (เงินปล่อยกู้ Investment)
• รัฐ โดยธปท. มีหน้าที่บริหารเงินสองก้อนนี้ให้เติบโตไปอย่างเป็นระบบ เพราะว่าถ้า S โต I โต GDP ก็โต เงินออมเอามาปล่อยกู้ ทำให้เกิดการจ้างงาน เกิดการผลิต จีดีพีก็โต เช่น นโยบายให้ปล่อยกู้ SMEs เยอะๆ นโยบายสนับสนุนการออม
• รัฐลงมาให้ประชาชนออมเองไม่ได้ ปล่อยกู้เองไม่ได้ จึงต้องใช้สถาบันการเงินเป็นตัวจักร
• ส่งเสริมการค้าภาคเอกชน (หน้า ๓๕)
• เช่น ใช้เช็คแทนเงินสด ไม่ต้องนับเงินให้เสียเวลา สั่งของจากนอกผ่านสถาบันการเงินทำให้ต่างประเทศเชื่อถือ
• เอื้อต่อประชาชน
• เช่น เงินขาดไป ๓,๐๐๐ ตอนกลางคืน ก็ไปกดที่ตู้เอทีเอ็มได้ อยากออมเงินซื้อบ้าน ก็ไม่ต้องออมจนครบ แต่พอแบงค์เห็นว่าออมได้ก็ให้ผ่อนได้ โอนเงินไปให้ลูกที่อยู่ต่างจังหวัดได้
• ส่งเสริมระบบเศรษฐกิจโดยมวลรวมของประเทศ
• ในทัศนะของอ. ข้อนี้สถาบันการเงินไม่ได้ส่งเสริมแต่กลับทำลายระบบ ปี ๔๑ สถาบันการเงินทั้งระบบปล่อยกู้ ๕,๖๐๐,๐๐๐ ล้านบาทไทย มีหนี้เสีย ๒,๘๐๐,๐๐๐ ล้านบาทไทย เท่ากับมีหนี้เสียกว่า ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ธปท.ไทยต้องใช้เงินเข้าไปสนับสนุน
• ปัญหามาจากมาตรการตรวจสอบดูแลของ ธปท. ล่าสุดยังปล่อยให้ธนาคารทหารไทยล้มได้
o ความสำคัญ (หน้า ๓๗)
• ทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพภายใต้ความยั่งยืน
• เติบโตแบบไม่เสถียรภาพไม่ดี เช่น ค่าเงินแกว่ง เดี๋ยวเงินเฟ้อ เดี๋ยวเงินฝืด ถ้าเป็นแบบนี้องค์การจะอยู่ไม่ได้ เหมือนเรืออยู่ในทะเลเศรษฐกิจที่บ้าคลั่ง
• สถาบันการเงินเป็นตัวกำหนดว่า เศรษฐกิจจะแกว่งหรือจะเสถียร แล้วจะเสถียรแบบยั่งยืนได้หรือไม่
• ช่วยควบคุมสภาวะเศรษฐกิจ (หน้า ๔๐)
• ยามที่เกิดเงินเฟ้อ (เงินในตลาดเยอะ) นโยบายการเงินในขณะนั้นควรตรึงดอกเบี้ยเงินกู้หรือเงินฝากสูงหรือต่ำ คำตอบคือ สูง เพราะว่าเงินเฟ้อคือเงินเยอะ จึงต้องชะลอการเอาเงินเข้าสู่ระบบ เมื่อดอกเบี้ยเงินกู้สูง นักธุรกิจก็ไม่กล้ากู้ไปลงทุน เงินจึงไม่เข้าสู่ระบบ ดอกเบี้ยเงินฝากสูง คนก็จะอยากฝากเงิน ไม่ใช้เงิน เงินก็ไม่เข้าสู่ระบบ
• ยามที่เกิดเงินเฟ้อ นโยบายการคลัง จะต้องใช้งบประมาณแบบเกินดุล เพราะงบแบบเกินดุล คือ เก็บภาษีมาก ใช้จ่ายให้น้อย เป็นการดูดเงินเข้ามา
• มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายการเงินของประเทศ (หน้า ๔๐)
• ประเทศไทยเข้าใจผิดว่า นโยบายการเงินของประเทศ ธปท.ต้องเป็นคนคิดแต่เพียงผู้เดียว สถาบันการเงินมีหน้าที่ทำตามนโยบายเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงสถาบันการเงินอยู่ใกล้ชิดประชาชนอยู่ใกล้ความจริงใน ๗๖ จังหวัดมากกว่าธปท. ดังนั้นการกำหนดนโยบายที่ดีตามมาตรฐานโลก รัฐกับเอกชนต้องมาร่วมมือกัน เช่น ในยุโรปที่ธนาคารกลางแทบจะไม่ต้องทำหน้าที่คิดอะไรเลย เพราะสถาบันการเงินเป็นคนคิดให้เสร็จสรรพ เพราะมีข้อมูลที่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงมากกว่า
• เศรษฐกิจการเงินคนที่เป็นต้นตำรับคือ ยุโรป ไม่ใช่สหรัฐ ตั้งแต่กว่า ๑,๕๐๐ ปีมาแล้ว เงินในสมัยนั้นคือ เกลือ เพราะใช้ในการถนอมอาหาร คนจะถนอมอาหารได้ต้องมีเกลือ
• (หน้า ๑๗๔) คำสั่งของกระทรวงการคลัง ให้สอบสวนธปท.
• รายงานผลการสอบสวน (หน้า ๑๘๕-๑๙๐) (หน้า ๑๘๗ ข้อ ๔๓๔***) ๑. ธปท.มีความสับสนและขาดความรอบคอบ / ๒. คำสั่งของธปท.บางครั้งไม่สามารถปฏิบัติได้ / ๓. เปลี่ยนคำสั่งบ่อยโดยไม่ยอมอธิบายสาเหตุเท่ากับไม่มีความรับผิดชอบควรแก้ไข
o ประเภทและจุดเน้นของสถาบันการเงิน
• สถาบันการเงินมีหลายประเภท แต่สถาบันการเงินทุกประเภทจะคลุกคลีอยู่กับ S และ I ต่างกันที่จุดขาย/จุดเน้นเท่านั้น จุดขาย เช่น ออมสิน จุดขายคือมัธยัตถ์อดออม บ.ประกันชีวิต ก็เป็นสถาบันการเงิน เบี้ยประกันเท่ากับเงินออม มีจุดขายคือ คุณภาพชีวิตของสถาบันครอบครัว
 บทบาทของสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาประเทศ
o บทบาทมี ๒ บทบาท คือ เชิงธุรกิจ และเชิงพัฒนาประเทศ ในอดีตไทยให้ความสำคัญกับเชิงธุรกิจถึง ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมากเกินไป ทำให้เศรษฐกิจไทยพัง ถ้าต้องการให้ประเทศพัฒนาอย่างยั่งยืน จะต้องทำทั้งสองบทบาทอย่างละครึ่งๆ
o สภาพการดำเนินงานจริง กลับพบปัญหามากมาย
o ธนาคารพาณิชย์เอกชน ปัญหาใหญ่ๆ มีดังนี้
• การปล่อยสินเชื่อที่ไม่โปร่งใส ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ ดูได้จาก ปี ๔๑ ทั้งระบบปล่อยกู้ ๕,๖๐๐,๐๐๐ ล้านบาท เป็นหนี้เสีย (NPL) ถึง ๒,๘๐๐,๐๐๐ ล้านบาท เป็นไปได้อย่างไร ธปท.ไม่ปล่อยให้ล้มแต่กลับส่งเงินเข้าไปอุ้ม ทำให้เกิดหนี้สาธารณะมาก โดยที่หนี้สาธารณะนั้นไม่ได้ใช้เพื่อเป็นงบลงทุน กรุงไทยแห่งเดียวปล่อยกู้ ๙๗๐,๐๐๐ ล้าน เป็นหนี้เสีย ๖๕๐,๐๐๐ ล้าน
• ต้องการแข่งขันในตลาดเสรี แต่บุคลากรขาดความรู้ความสามารถที่เพียงพอต่อการแข่งขันบนการเงินเสรี อีก ๔-๕ ปีสถาบันการเงินตปท.จะเข้ามาบุกประเทศไทยได้ตามเงื่อนไขที่ประเทศไทยไปเซ็นไว้กับ WTO เช่น HSBC ทำให้เกิดการแข่งขันแบบมวยคนละรุ่น เหมือนที่โลตัสเข้ามาถล่มพ่อค้าไทย
• เทคโนโลยียังไม่เพียงพอต่อการแข่งขัน เรื่องการเงินต้องตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว แข่งกันที่ความเร็ว แต่เทคโนโลยีของเค้าสูงกว่าจึงสามารถตัดสินใจได้เร็วกว่า กองทุนของตปท.จึงเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินในประเทศไทยได้ง่าย MIS ที่มีอยู่ ก็ขาดประสิทธิภาพ ขาดคุณค่าที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจ เพราะมีแต่ข้อมูล ขาดความสามารถในการแปรสภาพข้อมูลให้เป็นสารสนเทศที่ใช้การได้